ตอนที่ 2 การพบกันของสองอันตราย
ตึกสูงระฟ้าตั้งตระหง่านท้าทายสายลมรุนแรงแห่งท้องทะเลทรายอย่างองอาจ
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดอาหรับพื้นเมืองสีขาวสะอาดนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาหนานุ่มบนชั้นสูงสุดของอาคารพลางกัดกินแอปเปิลในมืออย่างสบายใจ
‘เพลย์บอยหน้าหยก’
‘จิ้งจอกทะเลเงิน’
‘ราชาทองคำดำ’
‘มัจจุราชแห่งดรูไรดาราน’
‘ชีคนาซ อซีซา บาฮจา’ทายาทของตระกูล ‘บาฮจา’บุตรชายคนเดียวของ
‘ท่านหญิง ราเนีย บาฮจา’กับ ‘ชีคอูลา อดีบา’อดีตรัชทายาทของดรูไรดาราน
พระเชษฐาขององค์ซีมา อุซามะ อดีบา กษัตริย์ดรูไรดารานองค์ปัจจุบัน
ชีคอูลา
อดีบาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสามสิบปีก่อน
หลังจากอุบัติเหตุนั้นเพียงเจ็ดวันชีคอุซามะ
ก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นองค์ซีมากษัตริย์แห่งดรูไรดาราน แทนที่พระบิดาที่ทิวงคตด้วยโรคชรา
เมื่อสิ้นพระสวามีท่านหญิงราเนีย ก็รีบหอบลูกชายซึ่งมีอายุเพียงสองขวบเศษหนีกลับตระกูล
‘บาฮจา’เพราะเกรงว่าลูกชายคนเดียวจะเป็นอันตรายจากการแย่งชิงราชบัลลังก์
‘นาซ อซีซา อดีบา’ ถูกลอบสังหารหลายครั้ง จนตระกูล ‘บาฮจา’ต้องเปลี่ยนนามสกุลเขาจาก ‘อดีบา’เป็น‘บาฮจา’เพื่อกันเขาออกจากการแกร่งแย่งราชบัลลังก์และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
ซึ่งทำให้ ‘นาซ อซีซา บาฮจา’กลายเป็นคนที่มีบุคลิกโดดเดี่ยวแข็งกร้าว
เด็ดขาด หวาดระแวงต่อผู้คน กับทั้งโหดเหี้ยมต่อศัตรู จนได้สมญา‘มัจจุราชแห่งดรูไรดาราน’
“ทีเคกรุ๊ปจากไทยแลนด์จะขอเข้ามาดูเครื่องขุดเจาะน้ำมันของเรา
ท่านชีคจะอนุญาตไหมครับ?”
‘อาบีร บาดรียา’ชายชราร่างอ้วนฉุ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและผู้ดูแลผลประโยชน์ของ ‘บาฮจา กรุ๊ป’นั่งรายงานสถานการณ์ต่างๆของบริษัทให้ท่านประธานที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศได้รับทราบ
พร้อมทั้งขออนุมัติเรื่องที่บริษัทต่างชาติจะขอเข้ามาดูเครื่องเจาะสำรวจน้ำมันของ
บาฮจา ออยล์
ทีเค กรุ๊ป ติดต่อผ่าน ‘ชีคบุสฮรา ฟาทิมา’ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของดรูไรดาราน
ซึ่งท่านรัฐมนตรีได้ขอให้อาบีรช่วยเกลี้ยกล่อมชีคนาซ ให้อนุญาตให้ทางทีเค
กรุ๊ปเข้ามาดูงานตามที่ร้องขอ
แต่อาบีรยังไม่กล้ารับปากเพราะรู้ดีว่าเจ้านายของตนนั้นกล่อมยากขนาดไหน
ร่างสูงยังคงนอนกระติกเท้าเข้ากับจังหวะเพลงที่ดังกระหึ่มสะท้านสะเทือนไปทั้งห้องคล้ายกับไม่ได้ยินคำถามนั้น
“ท่านชีคครับ ทีเคกรุ๊ปจากไทยแลนด์จะขอเข้ามาดูงานวันพรุ่งนี้ท่านจะอนุญาตไหมครับ?”ชายชราจึงถามซ้ำ
“ไม่”คำตอบสั้นๆแต่หนักแน่น
“แต่เขาต้องการให้เราไปเจาะสำรวจน้ำมันให้เขา”อาบีร รายงานเพิ่มเติมเผื่อว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนใจ
“เหลวไหล!ประเทศเล็กๆแบบนั้นจะมีบ่อน้ำมันมาจากไหน งานเราเองก็ล้นมือ
ทำไมต้องไปเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย”ชายหนุ่มตวาดเสียงดัง
พร้อมกับลุกนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ชายชราจึงต้องนิ่งเงียบ
“มะรืนนี้
ข้าจะไปดูบ่อน้ำมันที่เมืองดาเรนไม่มีเวลามาสนใจแขกไม่ได้รับเชิญพวกนี้หรอก”ชีคนาซ อซีซา บอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกเดินตึงตังออกจากห้องไป
ปล่อยให้ชายชรามองตามพลางถอนหายใจ
อาบีรตัดสินใจต่อโทรศัพท์ไปรายงานความล้มเหลวกับรัฐมนตรีเฒ่าผู้เป็นเพื่อนเกลอ
“ว่าไง?”ปลายสายเอ่ยทัก
“ล้มเหลว”อาบีรตอบพร้อมถอนหายใจ
“อืม.. ข้าจะแจ้งผลกลับไปทางสหายที่รอฟังข่าวอยู่ทางโน้นให้ทราบก่อน
แล้วจะติดต่อกลับไปอีกที”ปลายสายไม่ได้แสดงความผิดหวังคล้ายกับจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ท่านรัฐมนตรีวางสายไปนานแล้ว
แต่อาบีรยังคงถือหูโทรศัพท์ค้างพร้อมกับคำถามที่ค้างคาใจ
สหายของรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นใคร?
ทำไมงานนี้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี้ถึงได้ยื่นจมูกเข้ามาเอี่ยวด้วย
สงสัยงานนี้คงจะไม่ธรรมดาแน่
**************
“ไม่สำเร็จ?”
ร่างสลักเสลาที่นั่งฟังรายงานขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันอย่างหงุดหงิดกับคำตอบที่ได้รับ
“ครับ ผมขอให้ท่านบุสฮรา
รัฐมนตรีต่างประเทศที่โน้นช่วยเจรจาแล้ว แต่..”กันต์ถอนใจอย่างผิดหวัง
“เตรียมเอกสารเดินทางพร้อมหน่วยจู่โจม
เราจะไปดรูไรดารานคืนนี้”
“ห๊า!”คำสั่งนั้นทำให้กันต์ตกใจตาเหลือก
อุทานดังลั่น
“มะ..ไม่ได้นะครับ
มันเสี่ยงเกินไป เดี๋ยวผมจะไปเจรจาเอง”เขาละล่ำละลักขันอาสา
“เธอไปแล้วใครจะดูบริษัทล่ะ”
อาทิตยาเอ็ด
“แต่..”ชายหนุ่มอึกอัก
“ถ้าท่านรู้..” กันต์รีบหาเหตุผลมาคัดค้าน แต่คงไม่สบอารมณ์ผู้ฟังนัก
คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากัน ประกายตาก็วาววับขึ้นทันที
“ก็อย่าให้ท่านรู้สิ” ดวงตามีอำนาจตวัดมองข่มขู่ ‘ถ้าท่านรู้ นายตายแน่’
‘ท่าน’ที่ทั้งคู่เอ่ยถึงคือ
‘พลเอกอานนท์ สิงหนฤนาจ’ผู้เป็นลุงและผู้ปกครองของอาทิตยาในขณะนี้
เนื่องจากบิดาและมารดาของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบปีก่อน
กันต์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
ถึงแม้จะเกรงกลัวต่อสายตาทรงอำนาจนั้นแต่เขาก็ต้องพยายามคัดค้านให้ถึงที่สุด
“คุณตะวันครับ ดรูไรดารานอันตรายเกินไปสำหรับ...
ผู้หญิง ” คำสุดท้ายแผ่วเบา
เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่เคยพอใจถ้าถูกเอ่ยอ้างเรื่องเพศ
ประกายตาคนที่ถูกคัดค้านวาววับยิ่งขึ้น“ผู้หญิงแล้วเป็นไง
เราทำอะไรได้ดีกว่าผู้ชายหลายๆคนเสียอีก”เสียงใสแหวดังไม่อย่างพอใจยิ่ง
กันต์ถอนหายใจยาว เขาไม่เถียงเรื่องที่เธอเก่งกว่าผู้ชายหลายๆคนรวมทั้งเขาด้วย
แต่..
“แต่..ชาวอาหรับมองผู้หญิงเหมือนเครื่องประดับ”
เขาคัดค้านพร้อมให้เหตุผล
“ ถ้าคุณตะวันไปเอง
ก็เหมือนเดินเข้าถ้ำเสือ ถ้าพวกนั้นใช้แผนสกปรก เราจะพลาดพลั้งได้ เชื่อผมเถอะ
ให้ผมไปเองจะดีกว่า เพราะพวกนั้นคงไม่คิดจะเอาผู้ชายอย่างผมไปเก็บไว้ในฮาเล็มหรอกครับ”กันต์พยายามพูดโน้มน้าวอีกครั้งหวังว่า เธอจะเปลี่ยนใจ
เธอผู้งดงามเฉิดฉันท์ดังดวงตะวันฉาย
มีค่ายิ่งกว่าอัญมณีใดๆในโลกหล้า แต่เธอไม่เคยใส่ใจในความงามที่ตนมี
ตลอดจนผู้คนที่ให้ความสำคัญกับมัน เมื่อมีหลายคนเข้ามาวุ่นวาย เธอจึงหลีกหนีโดยการใช้เขาเป็นหุ่นแทน
ส่วนเธอคอยชักเชิดอยู่เบื้องหลัง เขายินดีและเต็มใจปฏิบัติตามความต้องการของเธอเสมอมา
แต่ครั้งนี้..เธอคิดจะเดินทางไปสู่ดินแดนอันตรายยิ่ง เขาคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขาและคนที่อยู่ใต้ ‘ตะวัน’ดวงนี้จะเป็นอย่างไร
อาทิตยานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนบอกอย่างเด็ดเดี่ยว“งั้นเราจะปลอมตัวเป็นผู้ชาย”
กันต์สะอึก ยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันใด
จนอยากจะวิ่งไปขอยาแก้ปวดจากห้องพยาบาลประจำบริษัทมากินสักกระปุกเผื่อมันจะหายปวด
หรือไม่ก็หายไปจากโลกนี้เสียเลย เขารู้ดีว่า หากอาทิตยาตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ
“ดรูไรดารานตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดมากนะครับ
เขามีเครื่องสแกนด้วยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เชื่อผมเถอะให้ผมไปเองจะดีกว่า”กันต์พยายามพูดหว่านล้อมอีกครั้ง
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อถูกขัดใจ“รู้น่า..ว่าเป็นห่วง
แต่เราต้องหาทางช่วยปาริฉัตต์ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าเราไม่ไว้ใจเธอ
แต่งานนี้เราต้องสั่งการเอง หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้รับมือได้ทัน
ส่วนเธอต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลบริษัท คอยติดต่อประสานงานให้เรา”
คนสั่งเว้นช่วง
ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา
“และที่สำคัญ...ต้องหาข้อมูลของชีคอัลลามไว้อย่างละเอียด
เพื่อเราจะได้หาทางสั่งสอนไอ้ชีคบ้ากามนั่นให้รู้ว่า
ตัณหาราคะนำความพินาศมาสู่ตัวเองได้มากมายเพียงไร”
“อย่าห่วงเลย นายก็รู้ว่าเราดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน
ส่วนเรื่องเครื่องสแกน ก็แค่ให้จินนี่ไปด้วยก็หมดเรื่อง” อาทิตยาตอบพลางตบบ่า
‘มือขวา’เบาๆเป็นการปลอบใจ
“ตามไผทเข้ามา
เราจะออกเดินทางในเที่ยวบินที่เร็วที่สุด
แล้วอย่าลืมหาทางป้องกันการสอบกลับของบาฮจาด้วยล่ะ”
กันต์คำนับรับคำอย่างจำใจ
เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคัดค้านอีกต่อไป เขาเดินไปโทรศัพท์หาไผทพลางถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
หน่วยจู่โจมพิเศษซึ่งมี ไผทเป็นหัวหน้า
พร้อมลูกทีมอีกแปดคนเดินเข้าห้องประชุมอย่างพร้อมเพียง และมี ‘จินนี่ ’หรือ
จิรสิน สาวประเภทสองที่สวยจนได้รางวัลรองอันหนึ่งมิสทิฟฟานี่เมื่อสองปีก่อน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมตามเข้ามาด้วย
“เธอแน่ใจแล้วรึ?”
กันต์ถามให้แน่ใจ เพราะจินนี่นั้นสวยหวานดูบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งแม้จะยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศ
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเธอเป็นผู้ชายเลยสักคน
แล้วอย่างนี้จะไปทนแดดลมกลางทะเลทรายได้อย่างไร เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นภาระของคนอื่นเสียมากกว่า
“แน่ใจค่ะ”จินนี่ตอบรับนักแน่น
“จินนี่เคยฝันว่าอยากจะไปผจญภัยกลางทะเลทรายมานานแล้ว
และนี่ฝันของจินนี่ก็กำลังจะเป็นจริง”
เธอตอบพร้อมทำท่าฝันหวาน จินตนาการว่าตัวเองกำลังจะไปเป็นนางเอกในนิยายเรื่อง‘ข้ามขอบฟ้าตามหารัก’ ที่จะได้เจอเจ้าชายอาหรับสุดหล่อ ขี่ม้าขาวมาช่วยเธอตอนที่เจออันตรายและตกหลุมรักกันและกันทันทีที่สบตา
กันต์ได้ฟังถึงกับส่ายหน้าทันที
“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะจินนี่”
เขาพยายามเตือนสติให้อีกฝ่ายกลับมาอยู่ในโลกความจริง
ความจริงจินนี่นั้นฉลาดมากถึงจะไม่ใช่ระดับอัจฉริยะแต่ก็ใกล้เคียง
แต่เสียตรงที่เธอช่างฝันมากไปเท่านั้น
“จินนี่ก็ไม่ได้พูดเล่นนะคะคุณกันต์”เธอยืนยืนพร้อมทั้งมองค้อนคนที่มาขัดจินตนาการที่กำลังเพริศแพร้วของตน
“เอาเถอะๆ เราจะดูแลจินนี่เอง”อาทิตยาตัดบท ก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันไปมากกว่านี้
“ไผท
ไปจัดการเรื่องปลอมแปลงเอกสารของเรากับจินนี่ด้วย”
“ครับ”
ไผทรับคำ พร้อมกับชำเลืองมองกันต์ที่ทำหน้าเหนื่อยใจอยู่ด้านข้าง
เขาเข้าใจและเห็นใจอีกฝ่าย เพราะตนเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะตนนั้นต้องตามไปคุ้มครองทั้งคู่
ส่วนกันต์นั้นต้องอยู่ดูแลที่นี่ แต่เมื่อ ‘เจ้านาย’ตกลงใจไปแล้ว
‘มือขวา’ และ ‘มือซ้าย’อย่างกันต์กับเขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
หลังจากนั้นทั้งหมดก็เริ่มประชุมวางแผนการเดินทางสู่ดรูไรดาราน
หน่วยข่าวกรองและหน่วยจู่โจมจะถูกส่งตัวไปยังประเทศใกล้เคียงและหาทางเข้าดรูไรดารานในหลายเส้นทาง
ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวัน
ดังนั้นคณะเดินทางที่ใช้การเจรจาธุรกิจบังหน้าจะต้องหาทางรั้งอยู่ที่ดรูไรดารานนานพอสมควรจนกว่ากำลังหน่วยต่างๆจะทยอยมารวมตัวกันจนครบ
จากนั้นจะต้องรุกฆาตและถอยให้เร็วที่สุด
กันต์กับไผทไม่ห่วงเรื่องหาทางถ่วงเวลา
เพราะพวกเขามั่นใจว่าอาทิตยาสามารถหาวิธีให้คนทั้งคณะรั้งอยู่ที่ดรูไรดารานได้นานเท่าที่ต้องการ
แต่พวกเขาห่วงช่วงเวลารุกและถอยต่างหาก
ที่พวกเขาจะต้องหาทางกันอาทิตยากับจินนี่ออกจากขบวนการและพากลับทีเค กรุ๊ปก่อน
กับจินนี่พวกเขาคงจัดการได้ไม่ยาก แต่กับท่านประธานฯตัวร้ายนี่สิ
พวกเขาจะต้องใช้วิธีไหนถึงจะลากเธอกลับมาก่อนที่พวกหน่วยจู่โจมจะลงมือได้
กันต์สบตากับไผทเป็นความหมาย ‘รุกฆาต’แค่หวังไว้อย่างเดียว อย่าให้เธอไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นทั้งคู่คง ‘ถึงฆาต’ก่อนแน่ๆ
***************
กลุ่มคนของ ทีเคกรุ๊ปเดินทางถึงสนามบินแห่งชาติเมืองดูรฮาลเมืองหลวงของดรูไรดารานราวแปดนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น
เวลาของที่นี่จะช้ากว่าประเทศไทยประมาณสี่ชั่วโมง ทั้งหมดผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองอย่างง่ายดายเพราะ
กันต์ติดต่อผ่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของดรูไรดารานไว้ก่อนที่คนทั้งหมดจะมาถึง
ทำให้การตรวจค้นไม่เคร่งเครียดเหมือนชาวต่างชาติกลุ่มอื่นๆ
จากนั้นทั้งสิบก็เดินทางโดยรถตู้ไปยังโรงแรมบาฮจาลีที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดูรฮาล
เมื่อเช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อยแล้ว
ไผทกับอาทิตยาที่ก็เดินทางต่อไปยังสำนักงานใหญ่ของ บาฮจา ออยล์ เพื่อเจรจาขอไปดูเครื่องเจาะสำรวจน้ำมันอีกครั้งหลังจากการเจรจารอบแรกล้มเหลว
ชีคนาซ อซีซา บาฮจา เดินทางมาถึงตึกสำนักงานใหญ่ของบาฮจา
กรุ๊ปเกือบสิบโมงเช้า
เขามาที่ห้องทำงานของอาบีรแต่เลขาหน้าห้องของอาบีรรายงานว่าอาบีรกำลังมีแขก
“ใคร?”เขาถามอย่างแปลกใจ
“ตัวแทนของบริษัททีเค กรุ๊ป
จากไทยแลนด์ครับ”เลขาหน้าห้องอาบีรตอบอย่างนอบน้อม
คำตอบนั้นทำให้ชีคนาซขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ‘ไอ้พวกปัญญาอ่อน ปฏิเสธไปแล้วยังไม่เข้าใจอีกรึไงนะ’เขาสบถในใจก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เคาะประตู
เพราะเขาไม่สนใจจะรักษามารยาทกับคนที่เขาปฏิเสธจะเจรจาด้วยอยู่แล้ว
คนที่อยู่ในห้องหันขวับมามองผู้มาใหม่เป็นจุดเดียว
อาบีรค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างลำบากเพราะไขมันรอบตัวที่คอยถ่วงไว้
‘ไอ้พวกปัญญาอ่อน’สองคนในชุดสูทสากลสีดำลุกขึ้นยืนต้อนรับ
ชีคนาซกวาดตามองเก็บรายละเอียดอย่างรวดเร็ว
ชายคนแรกอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ร่างกายบึกบึน ความสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร
ผิวสีแทนใบหน้าคมสันแบบคนเอเชียใต้ จมูกโด่ง ดวงตาคมเหมือนตาเหยี่ยว
แม้ใบหน้านั้นจะยิ้มแย้มต้อนรับแต่ดวงตามีแววระแวดระวัง ชีคนาซบอกตัวเองได้ทันที ‘บอดีการ์ดฝีมือดี’
ส่วนอีกคนยังเป็นหนุ่มน้อย
สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แต่ไม่สามารถคาดเดาอายุจริงของอีกฝ่ายได้เพราะใบหน้าเรียวเสลางดงามดังปฏิมากรรมชั้นยอดนั้นมีผิวขาวเนียนละเอียดบางใสประดุจผิวเด็กทารก
และที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตาเรียวยาวดำขลับวาววับดุจนิลคู่นั้น
‘ไอ้นี่ ตามันมีอำนาจ นี่นะรึตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่
เด็กอย่างนี้จะทำอะไรได้’ ชีคนาซวิจารณ์ในใจอย่างดูแคลน
“ท่านนาซ อซีซา บาฮจา ประธานฯ
บาฮจา กรุ๊ปครับ”
“นี่คือมิสเตอร์อาทิตย์
สุริยะ และมิสเตอร์ไผท ไพรัชกิจ ตัวแทนจาก
ทีเคกรุ๊ป ครับ”อาบีรเอ่ยแนะนำทั้งสองฝ่าย
‘มิสเตอร์อาทิตย์ สุริยะ’โค้งคำนับ ก่อนจะยื่นมือเล็กไปสัมผัสกับมือใหญ่ที่ยื่นรอ ชีคนาซขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสกับมือนุ่มนิ่มยิ่งกว่าผู้หญิงด้วยความรู้สึกแปลกๆ
คล้ายมีกระแสไฟฟ้าไหลจากปลายมือไปสู่หัวใจ
จนเขาต้องรีบคลายมืออย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เมื่อเหลือบมองอีกฝ่ายก็ทำหน้าฉงนใจเช่นเดียวกัน
แต่เพียงแค่แวบเดียวก็นิ่งเฉยดุจเดิม
‘ไผท ไพรัชกิจ’เดินเข้าไปสัมผัสมือกับชีคนาซ
อซีซา ก่อนจะถอยกลับที่เดิม
“ยินดีที่ได้รู้จัก เชิญนั่ง”ชีคนาซ เอ่ยเสียงเรียบก่อนผายมือเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงดังเดิม
“มิสเตอร์อาทิตย์
มาเจรจาขอไปดูเครื่องเจาะสำรวจน้ำมันของ บาฮจา ออยล์ครับ”อาบีรเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นอีกครั้ง
“เราตอบไปแล้วว่า เราเสียใจ
เพราะเครื่องเจาะสำรวจของเรายังติดภารกิจเจาะสำรวจน้ำมันของเราอยู่”ชีคนาซตอบเสียงเรียบรอดูว่า คู่เจรจาจะว่าอย่างไรเมื่อโดนปฏิเสธซึ่งๆหน้า
“เราทราบคำตอบรอบแรกแล้ว”ฝ่ายมาขอเจรจารอบสองตอบ เสียงใสดังกังวานเสนาะหูแต่ดูมีอำนาจในน้ำเสียง
ชีคนาซ อซีซา เลิกคิ้ว ‘มันเด็กมากขนาดเสียงยังไม่แตกหนุ่มเลยรึ
ทีเคกรุ๊ปขาดแคลนคนจนต้องใช้แรงงานเด็กขนาดนี้แล้วหรือไร’ เขาหยันในใจ
“ แต่เราทราบมาว่า บาฮจา
ออยล์มีเครื่องเจาะสำรวจน้ำมันที่ทันสมัยที่สุดในโลก ดังนั้นเราจึงมาขอเจรจาอีกครั้ง”
อาทิตยากล่าวต่อเพื่อเปิดเจรจาอีกครั้ง
“ก็บอกแล้วว่าเครื่องเจาะสำรวจของเรายังติดงานอยู่
ไม่ว่าง”ชีคนาซ ปฏิเสธตรงๆ เผื่ออีกฝ่ายจะฟังไม่เข้าใจ
“เราก็อยากดูตอนมันทำงาน
ไม่ใช่มาดูเครื่องที่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่อย่างนั้นจะรายงานผู้บริหารของเราถูกได้อย่างไรถ้าไม่เห็นการทำงานของมันจริงๆ
ถ้าจะดูเครื่องที่ถูกทิ้ง ไปดูที่เซียงกงไม่ดีกว่ารึ” คนที่ถูกปฏิเสธรอบสองขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือแววรำคาญ
ทำให้คนฟังถึงกับสะอึก
‘ไอ้นี่ ขนาดมาขอร้องเขา
มันยังกล้าพูดแบบนี้อีกนะ ใครวะที่กล้าส่งมันมา’ชีคนาซคิดอย่างหงุดหงิด
“ทำไมไม่ติดต่อไปทางอเมริกาล่ะ”
“เราไปดูมาแล้ว และต้องการเปรียบเทียบกับของบาฮจา ออยล์” ฝ่ายมาเจรจาบอกเสียงเรียบก่อนยักไหล่
“แต่ถ้าบาฮจาไม่กล้าให้เราไปดู เพราะกลัวว่าจะสู้ทางอเมริกาไม่ได้
เราก็จะกลับไปรายงานผู้บริหารของเราตามนี้”
เน้นเสียงบางคำ แถมยังทำหน้าดูแคลนชัดเจน จนคนคนถูกปรามาสตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“เครื่องเจาะสำรวจน้ำมันของเราทันสมัยที่สุดในโลก
ไม่มีทางด้อยกว่าอเมริกาแน่”ท่านชีคประกาศกร้าว
“ถ้าทันสมัยจริง ก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าเราจะขอไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา”คนถาม เลิกคิ้วสบตาอย่างท้าทาย
ชีคนาซ ชะงัก
ถลึงตาใส่อีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าตัวเอง‘พลาด’อย่างจัง ถ้าไม่ให้มันไปดู
‘ไอ้ตัวร้าย’นี่จะต้องดูแคลนเขาแน่ๆ
“ได้ แค่ดูไม่มีปัญหาหรอก
แต่เครื่องเจาะของเรายังไม่ว่างอีกนาน”
ชีคนาซอนุญาตเสียงสะบัดแถมยังเน้นย้ำให้ ‘แค่ดู’เท่านั้น เขาจะไม่ยอมเสียเสียท่า ‘มัน’อีกอย่างแน่นอน
อาทิตยาพยักหน้ารับทราบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เพราะจุดประสงค์ที่มาเจรจาในครั้งนี้ไม่ใช่อยู่ที่เครื่องเจาะสำรวจน้ำมัน
แต่เป็นการใช้ บาฮจา ออยล์บังหน้าเพื่อปฏิบัติภารกิจลับต่างหาก
ไผทแอบยิ้มในใจ เห็นฤทธิ์ ‘เจ้านายตัวร้าย’หรือยังล่ะ นักธุรกิจกี่คนแล้วที่โดน’เชือด’อย่างง่ายดาย เพราะประมาท ‘ไอ้เด็กหน้าใส’ที่คิดว่าไร้น้ำยา… ใช่ เธอไม่มีหรอก‘น้ำยา’ มีแต่ ‘น้ำกรด’ชนิดร้ายแรงที่สุดด้วย ใครโดนเข้ามีหวังละลายไม่เหลือแม้แต่กระดูกไว้เป็นหลักฐาน
เมื่องานสำฤทธิ์ผล คนที่มาขอเจรจาก็ลุกขึ้นกล่าวลาทันที
“ขอบคุณครับ
หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”
แม้ปากจะกล่าววาจาเช่นนั้นแต่ในใจกลับแอบภาวนา
‘ขออย่าได้ร่วมงานกันจริงๆเลย’แค่นี้ก็หมั่นไส้จะแย่ คนอะไรมองคนอื่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
แถมทำท่าดูถูกคนอื่นออกนอกหน้า ถ้าไม่คิดว่าตนอยู่ในฝ่ายที่ต้องขอร้องแล้วละก็
ชีคจอมยโสนี่จะต้องเจอดีแน่ๆ
“เช่นกัน”
ชีคนาซตอบรับเสียงประชด
ใครเขาอยากจะร่วมงานกับไอ้เด็กไม่รู้ความแบบนี้ล่ะ
มาขอร้องเขาทั้งทีจะทำหน้าอ่อนน้อมถ่อมตนสักหน่อยก็ไม่ได้
มันยังกล้ามาทำหน้าดูถูกคนมาขอร้องอีก ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เดี๋ยวเถอะ
จะโดนสั่งสอนเข้าสักวัน
ต่างฝ่ายต่างมองกันตาขวางแถมคิดมุ่งร้ายอยู่ในใจ
อย่างคนที่ไม่เคยยอมใครทั้งคู่
“แล้วมิสเตอร์อาทิตย์
ต้องการจะไปดูเครื่องเจาะสำรวจเมื่อไรครับ?”
อาบีรเอ่ยถามเพื่อดึงสายตาของคนที่จ้องกันอย่างไม่ลดละ
ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันขึ้น เขาโล่งใจเพราะงานที่รับปากท่านชีคบุสฮราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยที่เขาไม่ต้องออกโรงเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้เขาจะกลัวท่านชีคจะอาละวาดขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้าย ท่านชีคก็รับปากจนได้
ชายชราแอบชื่นชมคนตัวเล็กที่ทั้งฉลาดและกล้าหาญ
กล้าตอบโต้กับมัจจุราชอย่างไม่เกรงกลัวแถมยังทำให้มัจจุราชตกหลุมพรางได้อย่างง่ายดาย แต่เขาแอบภาวนา
อย่าให้ทั้งคู่ได้ทำธุรกิจร่วมกันเลย เพราะเขาไม่รู้ว่าทั้งคู่จะปะทะกันเองเมื่อไร
เพราะดูแล้วเจ้าตัวเล็กนั่นก็คงจะร้ายไม่ใช่เล่น
แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรมาล้อเล่นกับพญามัจจุราชบ่อยครั้งนัก
“แล้วแต่ทาง บาฮจา
จะสะดวกครับ แต่ถ้าไปดูเร็วๆได้ก็ดี เพราะพวกเรายังมีงานอื่นรออยู่”
‘คนตัวเล็ก’กล่าวกับชายชราอย่างเกรงใจ จนคน‘ตัวใหญ่’ที่ยืนมองรู้สึกหมั่นไส้ ‘ทีกับเขา
มันกลับทำท่ายโสอวดดีนัก แต่กับอาบีร มันกลับนอบน้อมถ่อมตน
ไอ้นี่มันลำดับความสำคัญผิดไปหรือเปล่านะ’ท่านชีคผู้ยิ่งใหญ่คิดอย่างหงุดหงิด
“พรุ่งนี้ข้าจะไปดูบ่อน้ำมันที่เมืองดาเรน
ไปพร้อมกันเลยสิ”
ชีคนาซ
อซีซาเอ่ยชวนแล้วอยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อนึกได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้เอ่ยชวนไอ้ตัวร้ายนี้ให้ร่วมทางไปด้วย
จะกลับคำก็ไม่ทันเสียแล้ว
อาบีรหันไปมองเจ้านายของตนอย่างแปลกใจยิ่ง
เพราะเขารู้ดีว่าท่านชีคไม่ชอบให้ใครร่วมทางเดินไปด้วย นอกจากบอดีการ์ดคนสนิทเท่านั้น
แต่ทำไมครั้งนี้....
เมืองดาเรน? ดวงตาเรียวเปล่งประวายวับขึ้นก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็ว
แต่ก็ไม่หลุดพ้นสายตาเหยี่ยวที่จ้องมองอยู่
“ด้วยความยินดีครับ”
‘คนรับคำเชิญ’โค้งคำนับทันที โอกาสดีแบบนี้ใช่จะมีมาบ่อยนัก และข่าวล่าสุดที่ได้รับมา
คือปาริฉัตต์อยู่ที่เมืองดาเรน เพราะพนักงานตั้งแต่ระดับหัวหน้างานขึ้นไปทุกคนจะถูกฝังไมโครชิฟไว้ที่ตัวทำให้สามารถใช้ดาวเทียมหาพิกัดได้ในช่วงฉุกเฉินหรือต้องการตัวด่วนก็จะสามารถให้เฮลิปคอร์ปเตอร์ไปรับตัวได้ทันที
“เจ้าเคยไปที่ดาเรนรรึ?”ชีคนาซถามเมื่อเห็นแววตาของคนตรงหน้า
อาทิตยาส่ายหน้าก่อนตอบ “ไม่ ผมมาที่นี่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
ชีคนาซหรี่ตาลง“งั้นเจ้าก็ไม่เคยเดินทางกลางทะเลทรายสิน?ะ”
“ใช่
ผมไม่เคยเดินทางกลางทะเลทรายก็จริง แต่ท่านไม่ต้องห่วงหรอก
ผมรับรองว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงการเดินทางของท่านแน่” คนที่ไม่เคยเดินทางกลายทะเลทรายรับรองแข็งขัน
“การเดินทางผ่านทะเลทรายอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกขณะ
เช่นอาจจะเจอกับพวกโจรทะเลทราย”ท่านชีคแกล้งขู่
“ผมรู้...
และผมก็พร้อมจะรับมือกับพวกมันเสมอ” คนถูกขู่บอกอย่างมั่นใจ
ชีคนาซ อซีซา บาฮจา
มองสำรวจคนพูดอีกครั้งแล้วต้องส่ายหน้า ยิ้มขันกับท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยมของ‘มัน’
ตัวเล็กๆแบบนั้นยังอาจหาญคิดจะต่อกรกับพวกกองโจร แค่ลมทะเลทรายพัดผ่าน ‘มัน’ก็อาจจะถูกพัดพาปลิวหายไปได้ แต่ ‘มัน’ผู้ไม่เคยสัมผัสกับพื้นทรายกลับวางท่าเขื่องโขยิ่งนัก
“ท่านไม่เชื่อคำพูดผม?”
คนถามตาวาวไม่พอใจยิ่งเมื่อเห็นชีคนาซ
ยิ้มเยาะคำพูดของตน คนที่ไม่เคยยอมใคร มีหรือจะยอมให้ใครมายิ้มเยาะเช่นนี้ได้
“เปล๊า”
ชีคนาซปฏิเสธยิ้มมากขึ้น
ยิ่งเห็น‘มัน’ออกอาการหงุดหงิดก็ยิ่งขำ
‘นอกจากจะตัวเล็กปากกล้า
เจ้าเล่ห์ แล้วยังเจ้าอารมณ์อีกด้วยแฮะ’ท่านชีคแอบวิจารณ์ในใจ
‘อยากรู้นักว่า เวลาโกรธมันจะทำยังไง’ชีคนาซรอดูปฏิกิริยาของคนขี้โมโหตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ด๊าย....”
โดยไม่มีใครคาดคิด ร่างเล็กแต่ว่องไวก็ปราดเข้าหาคนตัวใหญ่ที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้าก่อนจะจับเขาทุ่มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
ชีคนาซ อซีซา
รับมือกับการจู่โจมอย่างรวดเร็วนั้นตามสัญชาตญาณ เขาสามารถพลิกตัวลงพื้นด้วยท่าที่ปลอดภัย
ก่อนจะดีดตัวขึ้นยืนและตั้งท่าจะเอาคืนกับคนที่กล้าลงมือกับเขาก่อน แต่เมื่อเห็น ‘มัน’ยืนเหยียดยิ้มเยาะเย้ยอยู่ไม่ห่างอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาก็ไม่รู้ว่าจะลงมือกับมันอย่างไร เพื่อไม่คนอื่นมองว่าเขารังแกเด็ก
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”ชีคนาซ อซีซาตวาดถามเสียงดังหวังให้มันกลัว
แต่คนโดนตวาดแค่ยักไหล่ก่อนลอยหน้าตอบอย่างไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น
“ผมก็แค่แสดงให้ท่านเห็นว่า
ผมก็มีฝีมือเหมือนกัน”
ชีคนาซทั้งฉุนทั้งขำกับท่าทางลอยหน้าลอยตาของ ‘มัน’
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าเข้าปะทะกับเขาตรงๆแบบนี้มาก่อน คงจะมีแค่‘ไอ้ตัวร้าย’ที่ไม่กลัวตายคนนี้กระมังที่กล้าทำเยี่ยงนี้ เขาเริ่มชอบความกล้าบ้าบิ่นของ ‘มัน’แล้วสิ
“ฮึ
แค่นี้เจ้าก็คุยโวว่าเจ้ามีฝีมือแล้วรึ?”ชีคนาซเยาะเย้ยกลับ
คนถูกเยาะเย้ยตาลุกวาวขึ้นครั้งอีกขยับตัวจะเล่นงานคนที่กล้าปรามาสอีกรอบแต่ไผทคว้าข้อมือเล็กไว้ทัน
พร้อมทั้งส่ายหน้าเป็นการเตือนสติ ‘วายร้าย’จึงสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิดใจแต่ก็ยอมอยู่ในความสงบ
ชีคนาซ มองอาการฮึดฮัดของ‘มัน’
แล้ว ริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มอย่างขันๆ มันก็แค่เด็กเอาแต่ใจเขาจะไปถือสามันทำไมกัน
“เอาล่ะ
ถ้าเจ้ามั่นใจว่าดูแลตัวเองได้ ข้าก็จะได้หายห่วง
แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าข้าจะไม่เสียเวลากับพวกคุณหนูอ่อนหัดเด็ดขาด”ชีคนาซว่า พลางรอดูปฏิกิริยาของ ‘คุณหนูอ่อนหัด’
ได้ผล…คนที่ถูกว่าเป็น‘คุณหนูอ่อนหัด’ตวัดสายตาวาววับมองอย่างเอาเรื่อง
“ผมไม่ใช่คุณหนูอ่อนหัด”
“ดีๆ
ข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าจะเก่งแต่ปากหรือเปล่า”ชีคนาซว่ายิ้มๆ
คนถูกว่า ‘เก่งแต่ปาก’ชำเลืองค้อนแต่ไม่ต่อปากต่อคำอีก
‘ไอ้นี่มันค้อนยังกะผู้หญิง’ท่านชีควิจารณ์ในใจ
“อาบีรแจ้งนาซีมให้เตรียมรถเผื่อ..
คนของเจ้ามีกี่คนนะ?”ท่านชีคหันไปสั่งการกับชายชราก่อนจะหันมาถาม‘แขกพิเศษ’
“สิบ” ‘แขกพิเศษ’ตอบเสียงห้วน
“สิบ? ทำไมเจ้าต้องขนคนมามากมายขนาดนั้นด้วย?”
ท่านชีคถามอย่างแปลกใจ แค่เดินทางมาติดต่อธุรกิจยังขนคนมาเป็นสิบ
แล้วยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ ‘คุณหนู’อีก
“ก็เอาไว้รับมือกับกองโจรทะเลทรายของท่านยังไงล่ะ”
คนที่ขนคนมาเป็นสิบย้อนหน้าตาเฉย
“กองโจรทะเลทรายไม่ใช่ของข้า”ท่านชีคบอกอย่างฉุนๆกับคำตอบยียวนของ‘มัน’
“ฮึ ถ้าเจอพวกโจรจริง เจ้าคิดหรือว่าแค่สิบคนจะรับมือกับพวกโจรเป็นร้อยได้”ท่านชีคถามเยาะๆ
“ฮึ พวกเราไปกับท่าน
ท่านก็รับมือกับพวกมันไปสิ”คนเป็น ‘แขกรับเชิญ’ตอบกลับแบบไม่แยแส
ท่านชีคยิ้มพร้อมกับส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของมัน“เจ้านี่ ร้ายกาจจริงๆ”
‘คนร้ายกาจ’เชิดหน้ารับพลางยิ้มกริ่มอย่างภูมิใจ ถ้าไม่ร้ายกาจจะได้ฉายา ‘วายร้ายอันดับหนึ่งแห่งทีเคกรุ๊ปเหรอ’น่าภูมิใจจะตายที่สามารถปราบมารร้ายอัจฉริยะพวกนั้นจนขึ้นเป็น‘จอมมาร’ที่ใครๆก็ต้องยอมศิโรราบได้
ชีคนาซเห็นรอยยิ้มนั้นก็อดพูดไม่ได้“เจ้านี่คงทำให้พวกผู้หญิงเสียน้ำตามาเยอะแยะแน่ๆ”
คำพูดนั้นคงไม่สบอารมณ์คนฟังนัก เพราะใบหน้าที่กำลังยิ้มกริ่มนั้นหุบลงฉับพลัน
ตาวาววับตวัดมองค้อน ย้อนทันควัน
“ผม…ไม่ใช่ท่าน”
“ข้า..ทำไม?”ชีคนาซถาม
“เพลย์บอย”อีกฝ่ายตอบตรงๆอย่างไม่เกรงกลัว
เพลย์บอยหัวเราะถูกใจกับคำตอบนั้น
ก่อนจะตอบกลับ
“ข้าไม่เคยทำให้ผู้หญิงเสียน้ำตา”
เพราะสำหรับเขาน้ำตาผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดมากถึงมากที่สุด
ดังนั้นถ้ามีใครจะบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสาร เขาก็จะถามแค่สั้นๆ ว่าอยากจะไปร้องไห้ต่อที่โลกหน้าไหม
แค่นั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะปล่อยน้ำตาให้หยดลงแม้แค่ครึ่งหยด แล้วอย่างนี้เขาจะไปทำให้ผู้หญิงเสียน้ำได้อย่างไร
“ฮึ ใครจะไปเชื่อ”คนไม่เชื่อยิ้มเยาะ
ก่อนจะโบกมือ
“ช่างเถอะไม่เกี่ยวกับผม ผมกลับก่อนดีกว่า
ต้องไปเตรียมตัวสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้”อาทิตยาตัดบทก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้
“พรุ่งนี้แปดโมงเช้า
เจอกันที่นี่”
ชีคนาซบอกหมายกำหนดการ ‘คนตัวเล็ก’โค้งคำนับ ก่อนจะเอ่ยลา
“สวัสดีครับ
ขอพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองท่าน”
จากนั้นทั้งอาทิตยากับไผทก็จับมือลากับอาบีร
ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป
ชีคนาซ อซีซา บาฮจามองตามคนที่เดินจากไปพลางครุ่นคิด
“อาบีร ท่านว่าไอ้ตัวเล็กคนนี้เป็นยังไงบ้าง?”ท่านชีคถามความคิดเห็นของท่านที่ปรึกษา
อาบีรมองหน้าเจ้านายตนอย่างแปลกใจอีกครั้ง
เพราะท่านชีคไม่เคยแสดงความสนใจใครมาก่อน
“ฉลาด และกล้าหาญดีครับ”อาบีรตอบ ชีคนาซยิ้ม พอใจกับคำพูดนั้น
“ไม่ใช่กล้าหาญ แต่มันบ้าบิ่นเลยต่างหากล่ะ”
คนพูดหัวเราะชอบใจ ดวงตาพราวระยับเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
พลางรำพึงในใจ‘ถ้าข้ามีน้องชายอย่างมันสักคนคงจะดีไม่น้อย’
‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว’เป็นคำบรรยายความรู้สึกของ ‘ชีคนาซ อซีซา บาฮจา’ได้เป็นอย่างดี เพราะการแย่งอำนาจราชบัลลังก์
ทำให้เขาต้องถูกอารักขาอย่างเข้มงวด ยากที่บุคคลอื่นจะเข้าใกล้ได้
ยิ่งเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว และเป็นทายาทของตระกูลใหญ่ ‘บาฮจา’ด้วยแล้ว ยิ่งยากที่บุคคลอื่นจะเขาถึง
เขาจึงไม่มีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันเลยนอกจากบอดีการ์ด ที่เป็นทั้งครูฝึกและบอดีการ์ดไปในตัว ถึงแม้เขาปรารถนาจะมีเพื่อนเล่นเช่นเด็กคนอื่น
แต่เพื่อความปลอดภัย เขาจึงจำต้องอยู่เพียงลำพังเสมอมา เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นคนเก็บกด
จนกระทั่งได้พบกับ‘มัน’ภาพความทรงจำวัยเด็กของเขาย้อนกลับมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง แค่ได้คุยกับ ‘มัน’เหมือนกับความอ้างว้างนั้นถูกเติมเต็มขึ้น เพียงแค่‘มัน’เดินจากไปไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็รู้สึกเหงาจับใจ จนต้อง..
“เช็คสิว่า...มันพักที่ไหน?”ชีคนาซสั่ง
อาบีรมองหน้าเจ้านายตนอย่างแปลกใจเป็นครั้งที่สาม
ก่อนจะโทรศัพท์ถามเลขาหน้าห้อง
ชายชราวางโทรศัพท์ลงก่อนรายงาน“โรงแรมบาฮจาลีครับ”
“ดี
ข้าจะไปทานอาหารกลางวันที่นั่น”ท่านชีคบอกก่อนจะเดินลอยชายออกจากห้องไปอย่างสบายใจ
อาบีรกระพริบตาปริบๆไม่เข้าใจว่า ทำไมชีคนาซต้องสนใจเด็กคนนั้นมากมายขนาดนี้ด้วย
เขากดโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อสั่งเลขาหน้าห้องให้จัดการเรื่องอาหารกลางของท่านชีคและไม่ลืมกำชับให้เชิญ
‘แขกคนสำคัญ’ไว้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น