ซีรีย์นิยายชุด Diary Love เรื่อง โลกกลมหรือพรหมลิขิต ตอนที่ 1


Diary Love … โลกกลม หรือพรหมลิขิต
แต่งโดย : ฟองฝัน วันวาน
จัดทำ  : กรกฎาคม  2550

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ผู้มีจารีตมิควรหยิบยก คัดลอก แบบหรือดัดแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งการถ่ายทอด ถ่ายเอกสาร สแกน ถ่ายภาพ ในรูปแบบหรือวิธีการใดๆทั้งปวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

---------------------------------------------------------

นิยายชุด Diary Love รักนี้ต้องบันทึก

เรื่องราวความรักในวัยเรียนของสี่สาวเพื่อนซี้ ที่เรียนคณะเดียวกัน ที่มีหนุ่มๆเข้ามาพัวพันทำให้ชีวิตต้องยุ่งเหยิง แต่ก็มีความหวานละมุนในหัวใจ

ทั้งชุดมีทั้งหมด 3 เล่ม
1.โลกกลม หรือพรหมลิขิต
2.แผนรักร้าย นายกะล่อน
3.ค่ายอาสาพัฒนา(รัก)


------------------------------------------

โลกกลม หรือพรหมลิขิต

เมื่อเราเจอกัน
            เจอกันแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน
            บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน
                        ต่างใจตรงกัน มองตาก็เข้าใจ         แต่คงเป็นเพียงได้แค่มองตา
                        อยากจะกอดเก็บเธอไว้     แต่พบกันเมื่อสาย ไม่อยากจะแย่งใคร
            น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
            อยากให้มันมีปาฎิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
            จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
            มันน่าเสียดาย ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
                                                                        ** ปาฎิหาริย์ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี**

อรปรียาสาวน้อยหน้าใสที่ชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็พาหนุ่มหล่อเดินเข้ามาในชีวิต แล้วยังมีหนุ่มหล่อในอดีตที่เคยตามตื้อวนเวียนกลับเข้ามาพัวพันกับเธออีกครั้ง สาวน้อยหน้าใสจะรับมือกับสองหนุ่มนี้อย่างไร แล้วยิ่งเธอมีอดีตที่ยังฝังใจว่า หนุ่มหล่อคือภัยพิบัติของชีวิต


*****************************
ตอนที่ 1 ความบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกัน

สาวน้อยหน้าใสรวบผมหางม้ากำลังชะเง้อชะแง้มองหนังสือที่เรียงรายอัดแน่นอยู่บนชั้นวางหนังสืออย่างพิจารณา พลันริมฝีบางสีสดราวกลีบดอกไม้ฉ่ำน้ำก็คลี่ออก ดวงตาแวววาวเป็นประกายอย่างพึงใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นที่สามลงมา
ดั่งดวง หฤทัย
ริมฝีบางพึมพำอย่างพอใจสุดซึ้ง เมื่อหนังสือเล่มที่เธอต้องใช้ความเพียรพยามหากว่าสองอาทิตย์มาอยู่ในมือ  หญิงสาวกอดหนังสือเล่มนั้นแนบอกเดินตรงไปหาบรรณรักษ์ ก่อนยื่นหนังสือให้
ขอยืมเล่มนี้ค่ะพร้อมกับแนบบัตรนักศึกษาของตนไปด้วย
บรรณารักษ์หยิบหนังสือเล่มนั้นพร้อมบัตรนักศึกษาไปคีย์ข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนส่งคืน
ขอบคุณค่ะ
เธอรับหนังสือกับบัตรนักศึกษาคืน ก่อนถอยห่างออกจากหน้าเคาน์เตอร์เพื่อหลีกทางให้นักศึกษาคนอื่นเข้าไปใช้บริการบ้าง
เมื่อเจอที่ปลอดคนเธอก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก่อนยัดบัตรนักศึกษาใส่ไว้และเก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ที่เดิม จากนั้นหญิงสาวก็เดินฮัมเพลงเบาๆออกจากห้องสมุดอย่างอารมณ์ดี

*****************
อ่านอะไรอ่ะ? ยิ้มไม่หุบเลย
วาสินีเอ่ยทักเพื่อนรักที่นอนคว่ำเอาคางเกยหมอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นเปี่ยมสุข อรปรียาไม่ตอบแต่ยอมปิดหนังสือลงเพื่อให้เพื่อนได้เห็นชื่อหนังสือชัดๆ
ดั่งดวง หฤทัย นิยายน้ำเน่าอีกตามเคยคนถามเบะปาก
ก็พอๆกับละครน้ำเน่าของแกนั่นแหละคอนิยายย้อนยิ้มๆ
ฮึ ของฉันมันมีทั้งภาพทั้งเสียง แต่ของแกมีแค่ตัวหนังสือ น่าเวียนหัวคอละครส่ายหน้า
อรปรียาเบะปากเลียนแบบบ้าง ละครสิน่าเวียนหัว เถียงกันแว๊ดๆอยู่ได้ หนวกหูจะตาย 
เออๆ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว ไอ้พวกบ้านิยาย
วาสินีมองค้อนก่อนเดินออกจากห้องไปดูละครทีวีที่ห้องนั่งเล่นต่อ อรปรียาเองก็ยักไหล่ไม่ใส่กับคำพูดนั้น หันกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือในมือต่อ
จนกระทั่งวาสินีเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอีกครั้ง
ไอ้อร..แกจะอ่านหนังสือให้อิ่มแทนข้าวเลยใช่ไหม พวกฉันจะได้ไม่ต้องรอคนถามหน้าหงิกงอ
อรปรียาเหลือบมองนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง..หกโมงเย็น ก่อนจะพลิกตัวลุกนั่งพลางบิดตัวแก้เมื่อย ทำให้คนมองส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนเดินออกจากห้องไปก่อน
อรปรียาค้นหากระเป๋าสตางค์อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบแล้วก็จะเดินออกจากห้อง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายที่วางอยู่บนเตียง หญิงสาวจึงคว้ามันมาด้วย
อะไรไอ้อร นี่ใจคอแกจะอ่านนิยายแม้กระทั่งเวลากินเลยหรือไง?”วาสินีเท้าสะเอวถามเพื่อนอย่างหมั่นไส้
แหม มันกำลังสนุก ฉันเอาไว้อ่านตอนนั่งรอไงอรปรียายิ้มอ้อนๆ
เวรจริงๆเพื่อนฉัน แกนี่น่าจะไปเป็นบรรณารักษ์ หรือไม่ก็นักเขียนนิยายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่านะวาสินีประชด
ขอบใจนะที่แนะนำ ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกันอรปรียายิ้มรับคำประชดหน้าระรื่น จึงได้รับค้อนวงโตจากเพื่อนรักทันที
ไปกันเถอะ ฉันหิวจนแสบท้องแล้วนะแกทิฆัมพรเร่งพร้อมเอามือกุมท้องประกอบ
สมน้ำหน้า ตอนกลางวันอยากกระแดะดีนัก ติโน่นตินี่ อันนี้แก้มไม่ชอบ อันนั้นกินแล้วอ้วน แล้วไง..อดกินของฟรีเลยแก มีคนเลี้ยงทั้งทีต้องกินให้คุ้มธีราภรณ์ค่อนขอดเพื่อนอย่างหมั่นไส้
แหมแก.. เราต้องรักษาภาพนิดหนึ่งอะนะ คนเพิ่งรู้จักกัน แกจะให้ฉันตะกละตะกามกินเป็นผีไม่มีญาติได้ยังไงทิฆัมพรทำกระมิดกระเมี้ยนอย่างมีจริตจึงถูกเพื่อนทั้งสองมองค้อน
เขาจีบไอ้อรไม่ใช่แกวาสินีว่าอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปทางอรปรียาที่เปิดหนังสืออ่านโดยไม่สนใจใคร
แล้วไอ้นี่มันรู้ไหมว่าเขามาจีบมัน?”
มันจะรู้อะไร๊ นอกจากนิยายตรงหน้า
ธีราภรณ์ส่ายหน้า ก่อนจะเรียกคนที่ถูกนินทาระยะเผาขนไปขึ้นรถ
ไอ้อร ไปกันได้แล้ว ยิ่งมืดยิ่งหาที่จอดรถยาก
อื่ออรปรียาตอบรับ พร้อมปิดหนังสือลงอย่างเสียดาย
แกขับวาสินีชี้หน้าอรปรียาที่กำลังจะเปิดประตูก้าวขึ้นนั่งเบาะหลัง
ทำไมแกไม่ขับล่ะ?”อรปรียาเอะอะประท้วง เพราะกะจะอ่านหนังสือบนรถต่ออีกสักหน่อย
ฉันไม่ชินทาง แกขับนะดีแล้ว แกขับรถนิ่ม
วาสินีให้เหตุผล อรปรียามองค้อนเพราะรู้ดีว่าเพื่อนจงใจแกล้งชัดๆ แต่ก็ยอมเปิดประตูไปนั่งประจำที่คนขับ  
เมื่อจัดการถอยรถออกพ้นรั้วบ้านแฝดหลังเล็กแล้ว ธีราภรณ์ก็ปิดประตูรั้วบ้านก่อนก้าวขึ้นนั่งหน้าคู่คนขับ ส่วนวาสินีกับทิฆัมพรนั่งเบาะหลัง

แล้วจะกินอะไรกันดีล่ะธีราภรณ์ถามขึ้นขณะรถแล่นถึงหน้าปากซอย
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ส้มตำวาสินีบอก
อ้าว ก็แกบอกว่าปลาร้าในเลือดของแกลดลง จนอยู่ในระดับอันตรายแล้ว ต้องรีบเพิ่มไม่ใช่เหรอไงทิฆัมพรกระเซ้ายิ้มๆ
แต่พวกแกเล่นกินส้มตำกันติดกันเป็นอาทิตย์แล้วนะ ถ้าเอาเลือดไปตรวจตอนนี้ หมอต้องบอกว่า มีเลือดปนในกระแสปลาร้าเพียงเล็กน้อยแล้วแน่ๆเลยวาสินีแสร้งถอนใจเฮือก เพื่อนๆจึงหัวเราะขัน
งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือแถวหอแพทย์กันไหม?”ธีราภรณ์เสนอ ตาเป็นประกายวิบวับ
ฉันรู้ว่าแกไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือหรอก แต่แกมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่าวาสินีทำตารู้ทัน
ถูกต้องนะคร้าบธีราภรณ์ทำมือเหมือนรายการทีวี เพื่อนๆจึงหัวเราะลั่น


เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยมีห้องพักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องแก้ปัญหาเรื่องที่พักนักศึกษา โดยการกันห้องพักไว้ให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งก่อน ห้องพักที่เหลือ นักศึกษาชั้นปีที่สองขึ้นไปหากใครต้องการพักหอพักของทางมหาวิทยาลัยจะต้องลงชื่อจองไว้ หากมีจำนวนนักศึกษามากกว่าห้องพัก ทางมหาวิทยาลัยจะใช้วิธีจับฉลาก ถ้าใครดวงดีก็ได้ ถ้าใครโชคร้ายก็ต้องไปเช่าหอพักของเอกชนที่ตั้งอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยแทน ซึ่งหอพักของเอกชนมีอยู่มากมายแต่ราคาแพงกว่าหอพักของมหาวิทยาลัยประมาณสามถึงสี่เท่าตัว
อรปรียา ธีราภรณ์ วาสินี และทิฆัมพร เป็นเพื่อนร่วมคณะและรวมกลุ่มกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง ถึงแม้ทั้งสี่สาวจะมาจากโรงเรียนมัธยมต่างโรงเรียนกัน แต่กลับคบกันอย่างสนิทสนมยิ่งกว่าเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเสียอีก
ตอนปีหนึ่งทั้งสี่สาวก็พักอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ แต่พอปีสองอรปรียากับวาสินีจับฉลากห้องพักไม่ได้ ธีราภรณ์ไม่ลงชื่อจองห้องพักของทางมหาวิทยาลัยเพราะเบื่อกฎระเบียบของหอพักที่ค่อนข้างเข้มงวด
ดังนั้นทั้งสามสาวจึงพากันตระเวนหาหอพักเอกชน จนมาเจอบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอนหลังหนึ่งเข้า  ด้วยราคาค่าเช่าที่ไม่แพงมากจนเกินไปบวกกับบ้านให้ความรู้สึกอิสระเหมือนอยู่บ้านของตัวเอง ทั้งสามจึงตกลงใจเช่าบ้านหลังนี้ ทิฆัมพรเองก็ไปขอสละสิทธิ์ห้องพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย แล้วออกมาอยู่รวมกับเพื่อนๆ ดังนั้นสี่สาวจึงได้เช่าบ้านหลังเล็กนี้มาเกือบสองปีแล้ว

อรปรียาขับรถออกจากหมู่บ้านจัดสรรที่พวกเธออาศัยอยู่ มาตามถนนเล็กๆที่จราจรค่อนข้างแออัด หรือที่รู้จักกันดีในนาม หลังมอ ก่อนจะผ่านเข้าสู่ประตูรั้วฝั่งตะวันตกของมหาวิทยา จากนั้นก็ขับรถมุ่งตรงไปคณะแพทยศาสตร์ ก่อนจะขับรถทะลุประตูรั้วมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออก ออกสู่นอกเขตมหาวิทยาลัยหรือ หน้ามออีกครั้ง
ตึกคอนกรีตฝั่ง หน้ามอ ผุดขึ้นอย่างแออัดไม่แพ้ฝั่ง หลังมอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดสำหรับนักศึกษาเช่าอยู่และมีร้านค้าต่างๆผุดขึ้นมาคอยให้บริการอย่างครบครัน

อรปรียาขับรถมาถึงอาคารพาณิชย์สามชั้นบล็อกหนึ่งซึ่งติดป้ายขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดนี้ระยะร้อยเมตร  ก๋วยเตี๋ยวเรือ ลุงหนวด หญิงสาวชะลอรถก่อนบังคับรถเข้าไปจอดที่ว่างหน้าร้านซึ่งเหลือที่พอดีรถหนึ่งคัน
นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าแกขับรถดี
วาสินีที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยชมเมื่อเพื่อนรักสามารถขับรถเข้าไปจอดที่ว่างได้โดยไม่ต้องถอยเข้าถอยออกทั้งๆที่มีที่ว่างเหลือเพียงนิดเดียว อรปรียามองค้อนแต่ไม่ต่อปากต่อคำ ก่อนก้าวลงรถพร้อมหนังสือเล่มโปรด
ไอ้นี่ มันห่วงหนังสือมากกว่าเพื่อนอีกนะเนี่ย
วาสินีบ่นอุบอิบก่อนก้าวลงจากรถบ้าง ธีราภรณ์กับทิฆัมพรหัวเราะเบาๆ เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนรักทั้งสองดี คนหนึ่งไม่ค่อยสนใจใคร อีกคนก็โวยวายได้ทุกเรื่อง

ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงหนวดเป็นอาคารพาณิชย์สองห้องทุบฝาผนังที่กั้นกลางออกทำให้ร้านดูกว้างขึ้น ด้านในมีโต๊ะตั้งประมาณสิบห้าโต๊ะ ตอนนี้มีลูกค้านั่งจองแล้วประมาณสิบโต๊ะ หน้าร้านมีเรือลำเล็กๆเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหม้อก๋วยเตี๋ยวและตู้กระจกสำหรับใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น และส่วนประกอบอื่นๆ
ขณะนี้มีชายวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ หน้าตาของเขาบ่งบอกเชื้อชาติได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นลูกค้าใหม่ก้าวเข้ามาในร้าน เขาก็เอ่ยทักอย่างอัธยาศัยดี
กิงอารายกังดี? เชิงๆ ไปนั่งโต๊ะก่อง
สี่สาวยิ้มให้เจ้าของร้านก่อนเดินเลยไปหาโต๊ะนั่งด้านในที่ว่างอยู่ โดยไม่สนสายตาลูกค้าเก่าที่มองมาอย่างสนใจ
เอาอะไรกันบ้างน่ะ?”
อรปรียาหยิบกระดาษกับปากกาที่เสียบไว้ในกล่องเล็กๆบนโต๊ะมาเตรียมจดรายการอาหาร
เส้นเล็ก พิเศษทิฆัมพรบอก
เส้นใหญ่ เนื้อเปื่อยวาสินีสั่ง
เส้นหมี่ พิเศษลูกชิ้นธีราภรณ์บอก
อรปรียาจดรายการของเพื่อนๆและของตัวเอง เส้นเล็ก ลูกชิ้นหมู ก่อนนำไปวางไว้ในตะกร้าเล็กๆบนโต๊ะใกล้ๆพ่อครัว และหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ต้องก็ต้องชะงักเพราะเสียงแปร๋นร้องทักมาจากหน้าร้าน
ฮ๊ายยย ยัยชะนี พวกหล่อนมาทำอะไรแถวนี้ยะ?”
อรปรียาหันไปยิ้มทักทายคนมาใหม่  ประยงค์เพื่อนสาวร่วมคณะเดินโยกย้ายส่ายสะโพกตรงมา พร้อมกับเพื่อนสาวต่างคณะอีกห้าคนซึ่งคุ้นเคยกับกลุ่มสี่สาวเป็นอย่างดี
นึกอยากกินก๋วยเตี๋ยวก็เลยแวะมาที่นี่อรปรียาตอบยิ้มๆ
ต๊ายยยย พวกหล่อนกินอย่างอื่นนอกจากส้มตำเป็นด้วยหรือยะ?”
ประยงค์ยังคงส่งเสียงแปร๋นๆไม่แคร์สายตาใครๆที่มองมา อรปรียายิ้มไม่ตอบ หันหลังกลับเดินนำหกสาวไปที่โต๊ะ เด็กในร้านช่วยกันยกโต๊ะอีกตัวมาต่อกับโต๊ะของสี่สาวอย่างรู้หน้าที่ ผู้มาใหม่นั่งลงพร้อมยิ้มทักทายคนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างสนิทสนม
ไปไหนมายะ?”ธีราภรณ์เอ่ยปากไถ่ถาม
ก็มาหาของอร่อยๆ น่ากินนะสิ
ประยงค์จีบปากตอบตาเป็นประกายวิบวับเป็นนัยว่า ของอร่อยๆ น่ากิน นั้นไม่ใช่แค่อาหาร เพื่อนๆก็หัวเราะอย่างรู้ทัน เรียกว่าไก่เห็นตีนงู  งูเห็นนมไก่ แล้วการเมาท์อย่างออกรสก็เริ่มขึ้น
อรปรียาไม่สนใจใครหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ

นี่นังอร หล่อนจะสอบพรุ่งนี้หรือไงยะ ถึงได้ตั้งใจอ่านขนาดเนี่ย
ประยงค์เอะอะเสียงแปร๋นทำให้โต๊ะอื่นๆหันมามองเป็นจุดเดียว
เอามานี่เลยหล่อน เวลาฉันพูดหล่อนต้องสนใจฉันเข้าใจไหมยะ?”
เขาแย่งหนังสือนิยายจากมืออรปรียาไป ก่อนจะใช้มันเคาะหัวเธอเบาๆ หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะเข้าร่วมวงเมาท์นั้น โดยทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี หัวเราะตามบ้าง เอ่ยขัดบ้างเพื่อเพิ่มรสชาติของการสนทนา จนกระทั่งชามก๋วยเตี๋ยวถูกลำเลียงมาที่โต๊ะ เสียงเซ็งแซ่จึงค่อยๆซาลง

ชายหนุ่มหน้าคม ผิวขาวใสหล่อเหลาขั้นเทพนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่คนเดียวที่โต๊ะตัวในสุด เขานั่งหันหน้าออกมาทางหน้าร้านจึงมองเห็นลูกค้าที่เข้ามาใหม่ได้ชัดเจน ก๋วยเตี๋ยวในชามพร่องลงเกือบครึ่ง และแล้วหญิงสาวสี่คนก็ก้าวเข้ามาในร้าน ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นถึงแม้จะไม่ถึงขนาดทำให้คนมองตะลึงลาน แต่ก็สะดุดตาไม่น้อย พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านทันที แต่เหมือนพวกเธอจะไม่รู้สึกตัว หรือไม่ก็เคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ พวกเธอจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสี่ยังคงเดินไปนั่งลงยังโต๊ะที่ว่างด้วยท่าทางสบายๆ
 ชายหนุ่มพยายามนึกทบทวนความทรงจำ แล้วก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าพวกเธอมาก่อน ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพินิจพิจารณาสี่สาวอยู่นั้น สาวประเภทสองกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมส่งเสียงทักทายแหลมแปร๋นไม่เกรงใจประสาทหูของคนฟังที่อาจจะพิการได้ ถ้าต้องทนฟังเสียงนั้นเกินครึ่งชั่วโมง แล้วเด็กในร้านก็ช่วยกันยกโต๊ะอีกตัวมาต่อกับโต๊ะของสี่สาว  จากนั้นการสนทนาแบบเผ็ดร้อนก็เริ่มขึ้นทันทีที่คนกลุ่มใหม่นั่งลง โดยไม่สนใจใคร ลูกค้าเก่าหลายคนหันมองคนกลุ่มนั้นอย่างหมั่นไส้ แต่บางคนกลับอมยิ้มกับการสนทนานั้น
 ท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะแหลมสูงอย่างมีจริตรบกวนประสาทหูของสาวประเภทสองเหล่านั้น หญิงสาวหน้าตาน่ารักรวบผมหางม้ากลับตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในมือ ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมสงัดเพียงลำพัง
นี่นังอร หล่อนจะสอบพรุ่งนี้หรือไงยะ ถึงได้ตั้งใจอ่านขนาดเนี่ย
เอามานี่เลยหล่อน เวลาฉันพูดหล่อนต้องสนใจฉันเข้าใจไหมยะ?”
เสียงแหลมแปร๋นดังขึ้น ก่อนที่เขาจะแย่งหนังสือเล่มนั้นไปประทุษร้ายเธอ แทนที่จะโกรธที่ถูกขัดจังหวะอันสุนทรี หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า นังอร กลับยิ้มกว้างจนตาหยี ยิ้มนั้นทำให้คนกำลังมองอย่างสนใจหัวใจกระตุกวาบราวกับเครื่องบินตกหลุมอากาศกะทันหัน หัวใจที่เคยสงบนิ่งเต้นระรัวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 
จากที่เคยตั้งใจว่าจะรีบกิน แล้วรีบหนีไปให้พ้นเสียงแหลมๆที่รบกวนประสาทหู  ชายหนุ่มกลับเปลี่ยนใจ เขานั่งเคี้ยวก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างช้าๆ พลางมองหน้าใสที่ยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนๆอย่างเบิกบาน เสียงหวานของเธอคอยเอ่ยสอดแทรกเป็นระยะ แต่ก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ทุกครั้ง
ชายหนุ่มนั่งฟังเสียงและมองหน้าสาวน้อยหางม้าอย่างเพลิดเพลิน เพราะตำแหน่งที่เขานั่งนั้นทำให้มองเธอได้ชัดเจน แต่อีกฝ่ายจะมองเห็นเขาไม่ชัดนัก เพราะซอกที่เขานั่งมีลังใส่แก้วเปล่าวางคั่นไว้

เมื่อเด็กในร้านยกก๋วยเตี๋ยวมาวาง อรปรียาก็ตักเครื่องปรุงใส่อย่างละนิดละหน่อย ก่อนจะคนให้เข้ากันแล้วชิมรส
อะไรนังอร หล่อนใส่พริกแค่นี้เนี่ยนะ?”ประยงค์ถามเสียงสูงอย่างประหลาดใจ
อื่อ กินเผ็ดไม่ได้ อรปรียาบอกพลางตักน้ำตาลมาเติมอีก
ทำไมตะก่อนฉันเห็นหล่อนกินพริกทีเป็นกำล่ะยะ?”ประยงค์ยังสงสัยไม่คลาย
ก็เพราะมันซ่าไง โรคกระเพาะเลยถามหา คราวนี้เลยต้องกินพริกเป็นเด็กอนุบาลธีราภรณ์ตอบแทนเพื่อนพร้อมหัวเราะเยาะ
สมน้ำหน้าแทนที่เพื่อนจะสงสาร กลับเอ่ยซ้ำเติม
ขอบใจอรปรียาประชดยิ้มๆ
จากนั้นเสียงพูดคุยกันก็ลดลง เนื่องจากมีเส้นก๋วยเตี๋ยวในปากทำให้พูดไม่ถนัด และที่สำคัญต้องคอยระวังลูกชิ้นในชามของตัวเอง และคอยจ้องลูกชิ้นในชามของเพื่อน สมาธิจึงไม่อยู่กับการคุยอีกต่อไป
ไอ้อร ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบกินลูกชิ้น
ด้วยวิชาตะเกียบพิชิตมารที่ฝึกปรือมาอย่างดี ลูกชิ้นหมูในชามของอรปรียาก็ติดตะเกียบของธีราภรณ์ไปอย่างง่ายดาย เจ้าของลูกชิ้นส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ส่วนเจ้าของตะเกียบหัวเราะร่าอย่างถูกใจ ก่อนที่จะถูกวาสินีขโมยต่ออีกทอดหนึ่ง
เฮ้ย! ไอ้อ๋อม นั่นมันของฉันนะโว้ย
ธีราภรณ์เอะอะโวยวายที่โดนมือดีขโมยลูกชิ้นไปซึ่งๆหน้า
ของแก แต่มันอยู่ในปากฉันแล้ววาสินีเคี้ยวยับๆพลางยักคิ้วอย่างผู้ชนะ
จำไว้เลยแก เผลอเมื่อไหร่เจอฉันแน่ธีราภรณ์ชี้หน้าอาฆาต
พวกแกไม่อายชาวบ้านเขาบ้างเลยหรือไงนะ?” อรปรียาถามอย่างเหลืออดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่..โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ได้เพื่อนแบบนี้
ต่อให้แกเอามีดมากรีด ก็ไม่มีทางเห็นยางนังพวกนี่หรอกกี้ เพื่อนสาวคนหนึ่งตอบพร้อมหัวเราะขัน

ฉันจ่ายตังค์ล่ะนะ
อรปรียาบอกเมื่อเห็นชามก๋วยเตี๋ยวของแต่ละคนเหลือแต่น้ำ ก่อนยกมือเรียกคนมาเก็บเงิน
ขอบใจนะที่เลี้ยงทิฆัมพรยิ้มหวาน สองสาวเพื่อนซี้พลอยยกมือไหว้กันสลอน
ไม่เป็นไร มื้อนี้ฉันจ่ายเอง แต่เลี้ยงน้องอาทิตย์หน้าพวกแกเป็นคนจ่ายก็แล้วกันนะอรปรียาบอกพร้อมรอยยิ้มใจดี
โอ้ว... แกนี่ ไม่ค้ากำไรเกินควรเลยนะย่ะวาสินีประชด
ไม่หรอก ก็สลับกันจ่ายไง ฉันจ่ายคราวนี้ คราวหน้าก็พวกแก ยุติธรรมจะตายอรปรียายิ้มหวาน
ยุติธรรมกะผีนะสิ หารกันเหมือนเดิม  เอ้าจ่ายมาวาสินีแบมือเรียกเก็บตังค์จากเพื่อนๆ

ฉันไปรอที่รถก่อนนะ
อรปรียาบอกหลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก่อนลุกเดินออกไปรอที่หน้าร้านพร้อมหนังสือเล่มโปรด
นังนี่ ถ้ามันไม่ได้อ่านนิยายสักวัน มันจะลงแดงตายไหมนะ?”ประยงค์มองค้อนคนที่เพิ่งเดินออกไป
อย่าไปสนใจมันเลย ถึงมันจะบ้านิยาย แต่มันก็ติดท็อปไฟว์ทุกเทอม แต่พวกเราสินิยายก็ไม่ชอบอ่าน แถมพอสอบทีไรยังคาบเส้นทุกทีธีราภรณ์เอ่ยปลงๆ
คาบเส้นกะผีนะสิ คาบเอล่ะไม่ว่าประยงค์ค้อนขวับ
ไปกันได้แล้ว แล้วพวกแกมากันยังไง?”
วาสินีเอ่ยชวน  ก่อนไถ่ถามเพื่อนสาวขณะที่เดินตามกันออกจากร้าน
ซีตรองกี้ ตอบหน้าตาเฉย
เออๆ เชิญพวกแกเถอะ พวกฉันคงไม่มีวาสนาจะได้ไปซีตรองอย่างพวกแกหรอกทิฆัมพรหัวเราะ  เพราะรู้ดีว่า ซีตรอง นั่นเป็นคำผวน
บาย พรุ่งนี้เจอกัน
ธีราภรณ์เอ่ยลา เมื่อทุกคนมายืนรวมกันที่หน้าร้านแล้ว สี่สาวโบกมือลา ก่อนขึ้นรถและขับจากไป หกสาวที่เหลือก็เดินคุยกันพลางหยุดแวะชมเสื้อผ้าที่ตั้งร้านขายเรียงรายอยู่ริมถนน พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊ายเป็นระยะ
ชายหนุ่มรอจนหกสาวเดินพ้นหน้าร้านไปแล้ว เขาจึงเดินออกมานอกร้าน เขามองตามรถแจ๊ชสีน้ำเงินสดที่แล่นห่างไป ด้วยรอยยิ้มละไม ก่อนจะเปิดประตูรถซีวิกซ์สีบอร์นที่จอดอยู่ ก้าวขึ้นและขับออกไปบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น