Diary Love … โลกกลม
หรือพรหมลิขิต
แต่งโดย : ฟองฝัน วันวาน
จัดทำ
: กรกฎาคม 2550
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 ผู้มีจารีตมิควรหยิบยก คัดลอก แบบหรือดัดแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้
รวมทั้งการถ่ายทอด ถ่ายเอกสาร สแกน ถ่ายภาพ ในรูปแบบหรือวิธีการใดๆทั้งปวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
---------------------------------------------------------
นิยายชุด Diary Love รักนี้ต้องบันทึก
เรื่องราวความรักในวัยเรียนของสี่สาวเพื่อนซี้
ที่เรียนคณะเดียวกัน ที่มีหนุ่มๆเข้ามาพัวพันทำให้ชีวิตต้องยุ่งเหยิง แต่ก็มีความหวานละมุนในหัวใจ
ทั้งชุดมีทั้งหมด 3 เล่ม
1.โลกกลม หรือพรหมลิขิต
2.แผนรักร้าย นายกะล่อน
3.ค่ายอาสาพัฒนา(รัก)
------------------------------------------
‘โลกกลม หรือพรหมลิขิต’
เมื่อเราเจอกัน
เจอกันแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน
บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน
ต่างใจตรงกัน มองตาก็เข้าใจ แต่คงเป็นเพียงได้แค่มองตา
อยากจะกอดเก็บเธอไว้ แต่พบกันเมื่อสาย ไม่อยากจะแย่งใคร
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
อยากให้มันมีปาฎิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
มันน่าเสียดาย ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
เจอกันแค่ครั้งเดียว ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน
บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน
ต่างใจตรงกัน มองตาก็เข้าใจ แต่คงเป็นเพียงได้แค่มองตา
อยากจะกอดเก็บเธอไว้ แต่พบกันเมื่อสาย ไม่อยากจะแย่งใคร
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
อยากให้มันมีปาฎิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
มันน่าเสียดาย ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
**
ปาฎิหาริย์…ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี**
‘อรปรียา’สาวน้อยหน้าใสที่ชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ
แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็พาหนุ่มหล่อเดินเข้ามาในชีวิต แล้วยังมีหนุ่มหล่อในอดีตที่เคยตามตื้อวนเวียนกลับเข้ามาพัวพันกับเธออีกครั้ง
สาวน้อยหน้าใสจะรับมือกับสองหนุ่มนี้อย่างไร แล้วยิ่งเธอมีอดีตที่ยังฝังใจว่า
หนุ่มหล่อคือภัยพิบัติของชีวิต
*****************************
ตอนที่ 1 ความบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกัน
สาวน้อยหน้าใสรวบผมหางม้ากำลังชะเง้อชะแง้มองหนังสือที่เรียงรายอัดแน่นอยู่บนชั้นวางหนังสืออย่างพิจารณา
พลันริมฝีบางสีสดราวกลีบดอกไม้ฉ่ำน้ำก็คลี่ออก ดวงตาแวววาวเป็นประกายอย่างพึงใจ
ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นที่สามลงมา
“ดั่งดวง หฤทัย”
ริมฝีบางพึมพำอย่างพอใจสุดซึ้ง
เมื่อหนังสือเล่มที่เธอต้องใช้ความเพียรพยามหากว่าสองอาทิตย์มาอยู่ในมือ หญิงสาวกอดหนังสือเล่มนั้นแนบอกเดินตรงไปหาบรรณรักษ์
ก่อนยื่นหนังสือให้
“ขอยืมเล่มนี้ค่ะ”พร้อมกับแนบบัตรนักศึกษาของตนไปด้วย
บรรณารักษ์หยิบหนังสือเล่มนั้นพร้อมบัตรนักศึกษาไปคีย์ข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนส่งคืน
“ขอบคุณค่ะ”
เธอรับหนังสือกับบัตรนักศึกษาคืน
ก่อนถอยห่างออกจากหน้าเคาน์เตอร์เพื่อหลีกทางให้นักศึกษาคนอื่นเข้าไปใช้บริการบ้าง
เมื่อเจอที่ปลอดคนเธอก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย
ก่อนยัดบัตรนักศึกษาใส่ไว้และเก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ที่เดิม จากนั้นหญิงสาวก็เดินฮัมเพลงเบาๆออกจากห้องสมุดอย่างอารมณ์ดี
*****************
“อ่านอะไรอ่ะ? ยิ้มไม่หุบเลย”
วาสินีเอ่ยทักเพื่อนรักที่นอนคว่ำเอาคางเกยหมอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นเปี่ยมสุข
อรปรียาไม่ตอบแต่ยอมปิดหนังสือลงเพื่อให้เพื่อนได้เห็นชื่อหนังสือชัดๆ
“ดั่งดวง หฤทัย นิยายน้ำเน่าอีกตามเคย”คนถามเบะปาก
“ก็พอๆกับละครน้ำเน่าของแกนั่นแหละ”คอนิยายย้อนยิ้มๆ
“ฮึ ของฉันมันมีทั้งภาพทั้งเสียง
แต่ของแกมีแค่ตัวหนังสือ น่าเวียนหัว”คอละครส่ายหน้า
อรปรียาเบะปากเลียนแบบบ้าง “ละครสิน่าเวียนหัว
เถียงกันแว๊ดๆอยู่ได้ หนวกหูจะตาย ”
“เออๆ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว
ไอ้พวกบ้านิยาย”
วาสินีมองค้อนก่อนเดินออกจากห้องไปดูละครทีวีที่ห้องนั่งเล่นต่อ
อรปรียาเองก็ยักไหล่ไม่ใส่กับคำพูดนั้น หันกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือในมือต่อ
จนกระทั่งวาสินีเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอีกครั้ง
“ไอ้อร..แกจะอ่านหนังสือให้อิ่มแทนข้าวเลยใช่ไหม
พวกฉันจะได้ไม่ต้องรอ”คนถามหน้าหงิกงอ
อรปรียาเหลือบมองนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง..หกโมงเย็น
ก่อนจะพลิกตัวลุกนั่งพลางบิดตัวแก้เมื่อย
ทำให้คนมองส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนเดินออกจากห้องไปก่อน
อรปรียาค้นหากระเป๋าสตางค์อยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อพบแล้วก็จะเดินออกจากห้อง
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายที่วางอยู่บนเตียง หญิงสาวจึงคว้ามันมาด้วย
“อะไรไอ้อร
นี่ใจคอแกจะอ่านนิยายแม้กระทั่งเวลากินเลยหรือไง?”วาสินีเท้าสะเอวถามเพื่อนอย่างหมั่นไส้
“แหม มันกำลังสนุก
ฉันเอาไว้อ่านตอนนั่งรอไง”อรปรียายิ้มอ้อนๆ
“เวรจริงๆเพื่อนฉัน
แกนี่น่าจะไปเป็นบรรณารักษ์ หรือไม่ก็นักเขียนนิยายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่านะ”วาสินีประชด
“ขอบใจนะที่แนะนำ
ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน”อรปรียายิ้มรับคำประชดหน้าระรื่น
จึงได้รับค้อนวงโตจากเพื่อนรักทันที
“ไปกันเถอะ
ฉันหิวจนแสบท้องแล้วนะแก”ทิฆัมพรเร่งพร้อมเอามือกุมท้องประกอบ
“สมน้ำหน้า
ตอนกลางวันอยากกระแดะดีนัก ติโน่นตินี่ อันนี้แก้มไม่ชอบ อันนั้นกินแล้วอ้วน
แล้วไง..อดกินของฟรีเลยแก มีคนเลี้ยงทั้งทีต้องกินให้คุ้ม”ธีราภรณ์ค่อนขอดเพื่อนอย่างหมั่นไส้
“แหมแก..
เราต้องรักษาภาพนิดหนึ่งอะนะ คนเพิ่งรู้จักกัน
แกจะให้ฉันตะกละตะกามกินเป็นผีไม่มีญาติได้ยังไง”ทิฆัมพรทำกระมิดกระเมี้ยนอย่างมีจริตจึงถูกเพื่อนทั้งสองมองค้อน
“เขาจีบไอ้อรไม่ใช่แก”วาสินีว่าอย่างหมั่นไส้
ก่อนจะหันไปทางอรปรียาที่เปิดหนังสืออ่านโดยไม่สนใจใคร
“แล้วไอ้นี่มันรู้ไหมว่าเขามาจีบมัน?”
“มันจะรู้อะไร๊
นอกจากนิยายตรงหน้า”
ธีราภรณ์ส่ายหน้า
ก่อนจะเรียกคนที่ถูกนินทาระยะเผาขนไปขึ้นรถ
“ไอ้อร ไปกันได้แล้ว
ยิ่งมืดยิ่งหาที่จอดรถยาก”
“อื่อ”อรปรียาตอบรับ
พร้อมปิดหนังสือลงอย่างเสียดาย
“แกขับ”วาสินีชี้หน้าอรปรียาที่กำลังจะเปิดประตูก้าวขึ้นนั่งเบาะหลัง
“ทำไมแกไม่ขับล่ะ?”อรปรียาเอะอะประท้วง เพราะกะจะอ่านหนังสือบนรถต่ออีกสักหน่อย
“ฉันไม่ชินทาง แกขับนะดีแล้ว
แกขับรถนิ่ม”
วาสินีให้เหตุผล
อรปรียามองค้อนเพราะรู้ดีว่าเพื่อนจงใจแกล้งชัดๆ
แต่ก็ยอมเปิดประตูไปนั่งประจำที่คนขับ
เมื่อจัดการถอยรถออกพ้นรั้วบ้านแฝดหลังเล็กแล้ว
ธีราภรณ์ก็ปิดประตูรั้วบ้านก่อนก้าวขึ้นนั่งหน้าคู่คนขับ ส่วนวาสินีกับทิฆัมพรนั่งเบาะหลัง
“แล้วจะกินอะไรกันดีล่ะ”ธีราภรณ์ถามขึ้นขณะรถแล่นถึงหน้าปากซอย
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ส้มตำ”วาสินีบอก
“อ้าว ก็แกบอกว่าปลาร้าในเลือดของแกลดลง
จนอยู่ในระดับอันตรายแล้ว ต้องรีบเพิ่มไม่ใช่เหรอไง”ทิฆัมพรกระเซ้ายิ้มๆ
“แต่พวกแกเล่นกินส้มตำกันติดกันเป็นอาทิตย์แล้วนะ
ถ้าเอาเลือดไปตรวจตอนนี้ หมอต้องบอกว่า มีเลือดปนในกระแสปลาร้าเพียงเล็กน้อยแล้วแน่ๆเลย”วาสินีแสร้งถอนใจเฮือก เพื่อนๆจึงหัวเราะขัน
“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือแถวหอแพทย์กันไหม?”ธีราภรณ์เสนอ ตาเป็นประกายวิบวับ
“ฉันรู้ว่าแกไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือหรอก
แต่แกมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่า”วาสินีทำตารู้ทัน
“ถูกต้องนะคร้าบ”ธีราภรณ์ทำมือเหมือนรายการทีวี เพื่อนๆจึงหัวเราะลั่น
เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยมีห้องพักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องแก้ปัญหาเรื่องที่พักนักศึกษา
โดยการกันห้องพักไว้ให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งก่อน ห้องพักที่เหลือ นักศึกษาชั้นปีที่สองขึ้นไปหากใครต้องการพักหอพักของทางมหาวิทยาลัยจะต้องลงชื่อจองไว้
หากมีจำนวนนักศึกษามากกว่าห้องพัก ทางมหาวิทยาลัยจะใช้วิธีจับฉลาก
ถ้าใครดวงดีก็ได้ ถ้าใครโชคร้ายก็ต้องไปเช่าหอพักของเอกชนที่ตั้งอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยแทน
ซึ่งหอพักของเอกชนมีอยู่มากมายแต่ราคาแพงกว่าหอพักของมหาวิทยาลัยประมาณสามถึงสี่เท่าตัว
อรปรียา ธีราภรณ์ วาสินี และทิฆัมพร
เป็นเพื่อนร่วมคณะและรวมกลุ่มกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง
ถึงแม้ทั้งสี่สาวจะมาจากโรงเรียนมัธยมต่างโรงเรียนกัน
แต่กลับคบกันอย่างสนิทสนมยิ่งกว่าเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเสียอีก
ตอนปีหนึ่งทั้งสี่สาวก็พักอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ
แต่พอปีสองอรปรียากับวาสินีจับฉลากห้องพักไม่ได้ ธีราภรณ์ไม่ลงชื่อจองห้องพักของทางมหาวิทยาลัยเพราะเบื่อกฎระเบียบของหอพักที่ค่อนข้างเข้มงวด
ดังนั้นทั้งสามสาวจึงพากันตระเวนหาหอพักเอกชน
จนมาเจอบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอนหลังหนึ่งเข้า
ด้วยราคาค่าเช่าที่ไม่แพงมากจนเกินไปบวกกับบ้านให้ความรู้สึกอิสระเหมือนอยู่บ้านของตัวเอง
ทั้งสามจึงตกลงใจเช่าบ้านหลังนี้ ทิฆัมพรเองก็ไปขอสละสิทธิ์ห้องพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
แล้วออกมาอยู่รวมกับเพื่อนๆ
ดังนั้นสี่สาวจึงได้เช่าบ้านหลังเล็กนี้มาเกือบสองปีแล้ว
อรปรียาขับรถออกจากหมู่บ้านจัดสรรที่พวกเธออาศัยอยู่
มาตามถนนเล็กๆที่จราจรค่อนข้างแออัด หรือที่รู้จักกันดีในนาม “หลังมอ” ก่อนจะผ่านเข้าสู่ประตูรั้วฝั่งตะวันตกของมหาวิทยา จากนั้นก็ขับรถมุ่งตรงไปคณะแพทยศาสตร์
ก่อนจะขับรถทะลุประตูรั้วมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออก ออกสู่นอกเขตมหาวิทยาลัยหรือ “หน้ามอ”อีกครั้ง
ตึกคอนกรีตฝั่ง “หน้ามอ” ผุดขึ้นอย่างแออัดไม่แพ้ฝั่ง “หลังมอ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดสำหรับนักศึกษาเช่าอยู่และมีร้านค้าต่างๆผุดขึ้นมาคอยให้บริการอย่างครบครัน
อรปรียาขับรถมาถึงอาคารพาณิชย์สามชั้นบล็อกหนึ่งซึ่งติดป้ายขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดนี้ระยะร้อยเมตร “ก๋วยเตี๋ยวเรือ ลุงหนวด” หญิงสาวชะลอรถก่อนบังคับรถเข้าไปจอดที่ว่างหน้าร้านซึ่งเหลือที่พอดีรถหนึ่งคัน
“นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าแกขับรถดี”
วาสินีที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยชมเมื่อเพื่อนรักสามารถขับรถเข้าไปจอดที่ว่างได้โดยไม่ต้องถอยเข้าถอยออกทั้งๆที่มีที่ว่างเหลือเพียงนิดเดียว
อรปรียามองค้อนแต่ไม่ต่อปากต่อคำ ก่อนก้าวลงรถพร้อมหนังสือเล่มโปรด
“ไอ้นี่
มันห่วงหนังสือมากกว่าเพื่อนอีกนะเนี่ย”
วาสินีบ่นอุบอิบก่อนก้าวลงจากรถบ้าง ธีราภรณ์กับทิฆัมพรหัวเราะเบาๆ
เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนรักทั้งสองดี คนหนึ่งไม่ค่อยสนใจใคร
อีกคนก็โวยวายได้ทุกเรื่อง
ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงหนวดเป็นอาคารพาณิชย์สองห้องทุบฝาผนังที่กั้นกลางออกทำให้ร้านดูกว้างขึ้น
ด้านในมีโต๊ะตั้งประมาณสิบห้าโต๊ะ ตอนนี้มีลูกค้านั่งจองแล้วประมาณสิบโต๊ะ
หน้าร้านมีเรือลำเล็กๆเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหม้อก๋วยเตี๋ยวและตู้กระจกสำหรับใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว
ลูกชิ้น และส่วนประกอบอื่นๆ
ขณะนี้มีชายวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่
หน้าตาของเขาบ่งบอกเชื้อชาติได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นลูกค้าใหม่ก้าวเข้ามาในร้าน เขาก็เอ่ยทักอย่างอัธยาศัยดี
“กิงอารายกังดี? เชิงๆ ไปนั่งโต๊ะก่อง”
สี่สาวยิ้มให้เจ้าของร้านก่อนเดินเลยไปหาโต๊ะนั่งด้านในที่ว่างอยู่
โดยไม่สนสายตาลูกค้าเก่าที่มองมาอย่างสนใจ
“เอาอะไรกันบ้างน่ะ?”
อรปรียาหยิบกระดาษกับปากกาที่เสียบไว้ในกล่องเล็กๆบนโต๊ะมาเตรียมจดรายการอาหาร
“เส้นเล็ก พิเศษ”ทิฆัมพรบอก
“เส้นใหญ่ เนื้อเปื่อย”วาสินีสั่ง
“เส้นหมี่ พิเศษลูกชิ้น”ธีราภรณ์บอก
อรปรียาจดรายการของเพื่อนๆและของตัวเอง
“เส้นเล็ก ลูกชิ้นหมู” ก่อนนำไปวางไว้ในตะกร้าเล็กๆบนโต๊ะใกล้ๆพ่อครัว
และหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ต้องก็ต้องชะงักเพราะเสียงแปร๋นร้องทักมาจากหน้าร้าน
“ฮ๊ายยย ยัยชะนี พวกหล่อนมาทำอะไรแถวนี้ยะ?”
อรปรียาหันไปยิ้มทักทายคนมาใหม่ ประยงค์เพื่อนสาวร่วมคณะเดินโยกย้ายส่ายสะโพกตรงมา
พร้อมกับเพื่อนสาวต่างคณะอีกห้าคนซึ่งคุ้นเคยกับกลุ่มสี่สาวเป็นอย่างดี
“นึกอยากกินก๋วยเตี๋ยวก็เลยแวะมาที่นี่”อรปรียาตอบยิ้มๆ
“ต๊ายยยย พวกหล่อนกินอย่างอื่นนอกจากส้มตำเป็นด้วยหรือยะ?”
ประยงค์ยังคงส่งเสียงแปร๋นๆไม่แคร์สายตาใครๆที่มองมา
อรปรียายิ้มไม่ตอบ หันหลังกลับเดินนำหกสาวไปที่โต๊ะ เด็กในร้านช่วยกันยกโต๊ะอีกตัวมาต่อกับโต๊ะของสี่สาวอย่างรู้หน้าที่
ผู้มาใหม่นั่งลงพร้อมยิ้มทักทายคนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างสนิทสนม
“ไปไหนมายะ?”ธีราภรณ์เอ่ยปากไถ่ถาม
“ก็มาหาของอร่อยๆ น่ากินนะสิ”
ประยงค์จีบปากตอบตาเป็นประกายวิบวับเป็นนัยว่า
“ของอร่อยๆ น่ากิน” นั้นไม่ใช่แค่อาหาร เพื่อนๆก็หัวเราะอย่างรู้ทัน
เรียกว่า“ไก่เห็นตีนงู
งูเห็นนมไก่” แล้วการเมาท์อย่างออกรสก็เริ่มขึ้น
อรปรียาไม่สนใจใครหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ
“นี่นังอร หล่อนจะสอบพรุ่งนี้หรือไงยะ
ถึงได้ตั้งใจอ่านขนาดเนี่ย ”
ประยงค์เอะอะเสียงแปร๋นทำให้โต๊ะอื่นๆหันมามองเป็นจุดเดียว
“เอามานี่เลยหล่อน เวลาฉันพูดหล่อนต้องสนใจฉันเข้าใจไหมยะ?”
เขาแย่งหนังสือนิยายจากมืออรปรียาไป ก่อนจะใช้มันเคาะหัวเธอเบาๆ
หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะเข้าร่วมวงเมาท์นั้น โดยทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี
หัวเราะตามบ้าง เอ่ยขัดบ้างเพื่อเพิ่มรสชาติของการสนทนา จนกระทั่งชามก๋วยเตี๋ยวถูกลำเลียงมาที่โต๊ะ
เสียงเซ็งแซ่จึงค่อยๆซาลง
ชายหนุ่มหน้าคม
ผิวขาวใสหล่อเหลาขั้นเทพนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่คนเดียวที่โต๊ะตัวในสุด
เขานั่งหันหน้าออกมาทางหน้าร้านจึงมองเห็นลูกค้าที่เข้ามาใหม่ได้ชัดเจน
ก๋วยเตี๋ยวในชามพร่องลงเกือบครึ่ง และแล้วหญิงสาวสี่คนก็ก้าวเข้ามาในร้าน
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นถึงแม้จะไม่ถึงขนาดทำให้คนมองตะลึงลาน แต่ก็สะดุดตาไม่น้อย
พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านทันที แต่เหมือนพวกเธอจะไม่รู้สึกตัว
หรือไม่ก็เคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ พวกเธอจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ทั้งสี่ยังคงเดินไปนั่งลงยังโต๊ะที่ว่างด้วยท่าทางสบายๆ
ชายหนุ่มพยายามนึกทบทวนความทรงจำ แล้วก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าพวกเธอมาก่อน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพินิจพิจารณาสี่สาวอยู่นั้น
สาวประเภทสองกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมส่งเสียงทักทายแหลมแปร๋นไม่เกรงใจประสาทหูของคนฟังที่อาจจะพิการได้
ถ้าต้องทนฟังเสียงนั้นเกินครึ่งชั่วโมง แล้วเด็กในร้านก็ช่วยกันยกโต๊ะอีกตัวมาต่อกับโต๊ะของสี่สาว
จากนั้นการสนทนาแบบเผ็ดร้อนก็เริ่มขึ้นทันทีที่คนกลุ่มใหม่นั่งลง
โดยไม่สนใจใคร ลูกค้าเก่าหลายคนหันมองคนกลุ่มนั้นอย่างหมั่นไส้ แต่บางคนกลับอมยิ้มกับการสนทนานั้น
ท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะแหลมสูงอย่างมีจริตรบกวนประสาทหูของสาวประเภทสองเหล่านั้น
หญิงสาวหน้าตาน่ารักรวบผมหางม้ากลับตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในมือ ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ราวกับว่าเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมสงัดเพียงลำพัง
“นี่นังอร หล่อนจะสอบพรุ่งนี้หรือไงยะ
ถึงได้ตั้งใจอ่านขนาดเนี่ย”
“เอามานี่เลยหล่อน
เวลาฉันพูดหล่อนต้องสนใจฉันเข้าใจไหมยะ?”
เสียงแหลมแปร๋นดังขึ้น
ก่อนที่เขาจะแย่งหนังสือเล่มนั้นไปประทุษร้ายเธอ แทนที่จะโกรธที่ถูกขัดจังหวะอันสุนทรี
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า “นังอร” กลับยิ้มกว้างจนตาหยี ยิ้มนั้นทำให้คนกำลังมองอย่างสนใจหัวใจกระตุกวาบราวกับเครื่องบินตกหลุมอากาศกะทันหัน
หัวใจที่เคยสงบนิ่งเต้นระรัวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จากที่เคยตั้งใจว่าจะรีบกิน แล้วรีบหนีไปให้พ้นเสียงแหลมๆที่รบกวนประสาทหู
ชายหนุ่มกลับเปลี่ยนใจ เขานั่งเคี้ยวก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างช้าๆ
พลางมองหน้าใสที่ยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนๆอย่างเบิกบาน เสียงหวานของเธอคอยเอ่ยสอดแทรกเป็นระยะ
แต่ก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้ทุกครั้ง
ชายหนุ่มนั่งฟังเสียงและมองหน้าสาวน้อยหางม้าอย่างเพลิดเพลิน
เพราะตำแหน่งที่เขานั่งนั้นทำให้มองเธอได้ชัดเจน แต่อีกฝ่ายจะมองเห็นเขาไม่ชัดนัก เพราะซอกที่เขานั่งมีลังใส่แก้วเปล่าวางคั่นไว้
เมื่อเด็กในร้านยกก๋วยเตี๋ยวมาวาง
อรปรียาก็ตักเครื่องปรุงใส่อย่างละนิดละหน่อย ก่อนจะคนให้เข้ากันแล้วชิมรส
“อะไรนังอร หล่อนใส่พริกแค่นี้เนี่ยนะ?”ประยงค์ถามเสียงสูงอย่างประหลาดใจ
“อื่อ กินเผ็ดไม่ได้” อรปรียาบอกพลางตักน้ำตาลมาเติมอีก
“ทำไมตะก่อนฉันเห็นหล่อนกินพริกทีเป็นกำล่ะยะ?”ประยงค์ยังสงสัยไม่คลาย
“ก็เพราะมันซ่าไง
โรคกระเพาะเลยถามหา คราวนี้เลยต้องกินพริกเป็นเด็กอนุบาล”ธีราภรณ์ตอบแทนเพื่อนพร้อมหัวเราะเยาะ
“สมน้ำหน้า”แทนที่เพื่อนจะสงสาร กลับเอ่ยซ้ำเติม
“ขอบใจ”อรปรียาประชดยิ้มๆ
จากนั้นเสียงพูดคุยกันก็ลดลง
เนื่องจากมีเส้นก๋วยเตี๋ยวในปากทำให้พูดไม่ถนัด
และที่สำคัญต้องคอยระวังลูกชิ้นในชามของตัวเอง และคอยจ้องลูกชิ้นในชามของเพื่อน สมาธิจึงไม่อยู่กับการคุยอีกต่อไป
“ไอ้อร ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบกินลูกชิ้น”
ด้วยวิชา‘ตะเกียบพิชิตมาร’ที่ฝึกปรือมาอย่างดี ลูกชิ้นหมูในชามของอรปรียาก็ติดตะเกียบของธีราภรณ์ไปอย่างง่ายดาย
เจ้าของลูกชิ้นส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ส่วนเจ้าของตะเกียบหัวเราะร่าอย่างถูกใจ
ก่อนที่จะถูกวาสินีขโมยต่ออีกทอดหนึ่ง
“เฮ้ย!
ไอ้อ๋อม นั่นมันของฉันนะโว้ย”
ธีราภรณ์เอะอะโวยวายที่โดนมือดีขโมยลูกชิ้นไปซึ่งๆหน้า
“ของแก แต่มันอยู่ในปากฉันแล้ว”วาสินีเคี้ยวยับๆพลางยักคิ้วอย่างผู้ชนะ
“จำไว้เลยแก เผลอเมื่อไหร่เจอฉันแน่”ธีราภรณ์ชี้หน้าอาฆาต
“พวกแกไม่อายชาวบ้านเขาบ้างเลยหรือไงนะ?” อรปรียาถามอย่างเหลืออดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่..โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ได้เพื่อนแบบนี้
“ต่อให้แกเอามีดมากรีด ก็ไม่มีทางเห็นยางนังพวกนี่หรอก”กี้ เพื่อนสาวคนหนึ่งตอบพร้อมหัวเราะขัน
“ฉันจ่ายตังค์ล่ะนะ”
อรปรียาบอกเมื่อเห็นชามก๋วยเตี๋ยวของแต่ละคนเหลือแต่น้ำ
ก่อนยกมือเรียกคนมาเก็บเงิน
“ขอบใจนะที่เลี้ยง”ทิฆัมพรยิ้มหวาน สองสาวเพื่อนซี้พลอยยกมือไหว้กันสลอน
“ไม่เป็นไร มื้อนี้ฉันจ่ายเอง แต่เลี้ยงน้องอาทิตย์หน้าพวกแกเป็นคนจ่ายก็แล้วกันนะ”อรปรียาบอกพร้อมรอยยิ้มใจดี
“โอ้ว... แกนี่
ไม่ค้ากำไรเกินควรเลยนะย่ะ”วาสินีประชด
“ไม่หรอก ก็สลับกันจ่ายไง
ฉันจ่ายคราวนี้ คราวหน้าก็พวกแก ยุติธรรมจะตาย”อรปรียายิ้มหวาน
“ยุติธรรมกะผีนะสิ
หารกันเหมือนเดิม เอ้าจ่ายมา”วาสินีแบมือเรียกเก็บตังค์จากเพื่อนๆ
“ฉันไปรอที่รถก่อนนะ”
อรปรียาบอกหลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้ว
ก่อนลุกเดินออกไปรอที่หน้าร้านพร้อมหนังสือเล่มโปรด
“นังนี่
ถ้ามันไม่ได้อ่านนิยายสักวัน มันจะลงแดงตายไหมนะ?”ประยงค์มองค้อนคนที่เพิ่งเดินออกไป
“อย่าไปสนใจมันเลย
ถึงมันจะบ้านิยาย แต่มันก็ติดท็อปไฟว์ทุกเทอม แต่พวกเราสินิยายก็ไม่ชอบอ่าน
แถมพอสอบทีไรยังคาบเส้นทุกที”ธีราภรณ์เอ่ยปลงๆ
“คาบเส้นกะผีนะสิ คาบเอล่ะไม่ว่า”ประยงค์ค้อนขวับ
“ไปกันได้แล้ว
แล้วพวกแกมากันยังไง?”
วาสินีเอ่ยชวน ก่อนไถ่ถามเพื่อนสาวขณะที่เดินตามกันออกจากร้าน
“ซีตรอง”กี้
ตอบหน้าตาเฉย
“เออๆ เชิญพวกแกเถอะ พวกฉันคงไม่มีวาสนาจะได้ไปซีตรองอย่างพวกแกหรอก”ทิฆัมพรหัวเราะ เพราะรู้ดีว่า
ซีตรอง นั่นเป็นคำผวน
“บาย พรุ่งนี้เจอกัน”
ธีราภรณ์เอ่ยลา
เมื่อทุกคนมายืนรวมกันที่หน้าร้านแล้ว สี่สาวโบกมือลา ก่อนขึ้นรถและขับจากไป หกสาวที่เหลือก็เดินคุยกันพลางหยุดแวะชมเสื้อผ้าที่ตั้งร้านขายเรียงรายอยู่ริมถนน
พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊ายเป็นระยะ
ชายหนุ่มรอจนหกสาวเดินพ้นหน้าร้านไปแล้ว
เขาจึงเดินออกมานอกร้าน เขามองตามรถแจ๊ชสีน้ำเงินสดที่แล่นห่างไป ด้วยรอยยิ้มละไม ก่อนจะเปิดประตูรถซีวิกซ์สีบอร์นที่จอดอยู่
ก้าวขึ้นและขับออกไปบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น