ตอนที่ 3 เพื่อนบ้านใหม่
วุ่นวายไม่เลิก
เมื่อได้ยินเสียงรถแล่นออกไปธีราภรณ์ก็รีบเดินไปแอบมอง
เมื่อเห็นรถของอนพัทธ์ขับไปแล้วจึงถอนใจอย่างโล่งอก
“ไปแล้วล่ะ”เดินกลับมาบอกเพื่อนด้วยสีหน้าดีขึ้น
อรปรียาขมวดคิ้ว คนอย่างอนพัทธ์หากตั้งใจจะทำอะไรแล้ว
ยากที่ใครจะโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจได้ง่ายๆ ทำไมคราวนี้ถึงได้เรียบร้อยเร็วเกินคาด
แต่อรปรียาก็ไม่มีเวลาใส่ใจนานนักเพราะวาสินีกับทิฆัมพรกลับมาพอดี
สองสาวหิ้วของสดเข้ามาพะรุงพะรัง สี่สาวจึงต้องช่วยกันจัดการและเริ่มทำอาหารเย็น
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง
สี่สาวกำลังนั่นล้อมวงรับประทานอาหารเย็นหน้าจอทีวี ดูละครหลังข่าวไปด้วย
ธีราภรณ์ขยับตัวแต่อรปรียาไวกว่า
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวฉันไปดูเอง”
ว่าแล้วเธอก็เปิดประตูบ้านออกไป
แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน อรปรียาเดินไปถึงประตูรั้ว
“หวัดดีจ๊ะ พัทธ์พาเพื่อนร่วมบ้านมาแนะนำให้รู้จัก”
อนพัทธ์ทักทายเสียงใส
แต่อีกคนมีท่าทางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด อรปรียาเลิกคิ้วเป็นเชิงไถ่ถาม
“คือ
ไอ้พัทธ์มันชวนทันมาอยู่ด้วย ก็ไอ้พัทธ์มันจ่ายตังค์ค่าเช่าไปแล้ว ทันก็เลย..เอ่อ.”
วทันยูอึกอัก
อนพัทธ์มองอาการนั้นอย่างหมั่นไส้ ‘มันจะกลัวอะไรนักหนาวะ
ผู้หญิงเขายังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ’
“แล้วขนข้าวของมาแล้วเหรอ?”อรปรียาถามเสียงเรียบ
วทันยูพยักหน้ารับ “ก็เอามาแค่ปิกนิกกับหนังสือบางส่วน
ที่เหลือจะทยอยขนมา”
อรปรียาถอนใจ
จะบอกว่าไม่ต้องมาเช่าเธอก็พูดไม่ได้ ในเมื่อเธอไม่ใช่เจ้าของบ้าน
แล้วทั้งคู่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
“แล้วกินข้าวกันหรือยัง?”เสียงถามไถ่อ่อนโยนขึ้น
วทันยูยิ้มออกมาได้ “ยังเลยจ๊ะ
เพิ่งจะขนของเสร็จ”
“งั้นก็เข้ามากินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
อรปรียาเอ่ยชวนพร้อมเปิดประตูรั้วให้สองหนุ่มก้าวเข้ามา
อนพัทธ์ยิ้มกริ่ม ‘คิดถูกจริงๆที่ดึงวทันยูมาอยู่ด้วย อย่างน้อยก็สามารถดึงอรปรียามาเป็นพวกได้’
“มีแขกเพิ่มสองคนนะ”
อรปรียาบอกเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน
ก่อนเดินเลยไปเอาจานมาตักข้าวเพิ่ม สามสาวหันมองแขก แล้วก็ต้องตาโต
“ไอ้อร แกพาเข้ามาได้ไง ?” ธีราภรณ์แหวเสียงแหลม
“กับข้าวมีตั้งเยอะน่าน้ำ”อรปรียาบอกหน้าเฉย
ธีราภรณ์แทบจะกระโดดไปบีบคอเพื่อนให้ตายคามือ
ถ้าวทันยูไม่เอ่ยขึ้นก่อน
“เอ่อ ถ้าไม่สะดวก พวกเราไปกินข้าวข้างนอกก็ได้นะอร”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเกรงใจ
ธีราภรณ์ชะงัก “ทันไม่เป็นไร
แต่อีกคนฉันไม่ต้อนรับ”
เธอเน้นประโยคหลังชัดๆเพื่อให้บางคนรู้สึก
แต่แทนที่จะสลด อนพัทธ์กลับยิ้มกว้าง
“แหม...คุณนี่
ลำเอียงเห็นๆเลยนะเนี่ย”เขาว่าพร้อมทรุดลงนั่งหน้าตาเฉย
“ใครเชิญนาย”ธีราภรณ์แหว
“อร เชิญ”
ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของอีกฝ่าย
“เอาน่าน้ำไหนๆเขาก็จะมาเป็นเพื่อนบ้านเราแล้ว
ก็ผูกมิตรกันไว้ดีกว่าน่า”อรปรียาพยายามไกล่เกลี่ย
“เพื่อนบ้าน!”วาสินีกับทิฆัมพรอุทานขึ้นพร้อมกัน
“ครับ พัทธ์กับทันย้ายมาอยู่ข้างบ้านพวกคุณตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”อนพัทธ์นั่งทับส้นโค้งหัวคำนับเลียนแบบคนญี่ปุ่นทำให้คนที่มองอยู่ขวางหูขวางตายิ่งขึ้น
“ไม่รับ”ธีราภรณ์กระแทกเสียงตอบ
วทันยูหน้าจ๋อย
อรปรียาจึงต้องเข้ามาทำหน้าที่เกลี่ยไกล่อีกครั้ง
“เอาน่าไอ้น้ำ
พัทธ์กับทันมาอยู่น่ะดีกว่าต้องเจอพวกเถื่อนๆ กินเหล้าโวยวายน่า”
“นั่นสิ นี่ฉันยังกลัวไม่หายเลย”วาสินีพยักหน้าสนับสนุน
“ใช่ๆ แล้วน้องสองคนนั้นย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”ทิฆัมพรสนับสนุนอีกแรง ก่อนถามถึงเพื่อนบ้านคู่ก่อน
“เมื่อวานยังเห็นอยู่เลย”อรปรียาเอ่ย ก่อนหันไปชวนวทันยูที่ขยับมานั่งข้างๆอย่างเกรงใจ
“กินข้าวกันเถอะ”เอ่ยชวนพร้อมทั้งตักกับข้าวใส่จานของสองหนุ่ม
“อาจจะไม่อร่อยเท่าไหร่นะ
ทำกันเองน่ะ”วาสินีออกตัว
“ทำกันเองหมดเลยหรือฮะ?”อนพัทธ์ถามอย่างทึ่งๆ
อาหารตรงหน้ามีน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด
แกงส้ม ผักต้ม ไข่เจียว ถึงแม้จะเป็นอาหารพื้นๆแต่น่าตาก็น่ารับประทาน
แถมพอลองชิมรสชาดก็อร่อยใช้ได้
“แกงส้มนี่ ใครทำฮะ?”อนพัทธ์ถามอย่างติดใจ
“ไอ้น้ำ อร่อยไหม?”อรปรียาตอบ
“อืม อร่อยมากกก”
คนตอบลากเสียงยาวพร้อมหันไปยิ้มใส่ตาเจ้าของผลงาน
จึงได้รับค้อนวงโตกลับมาทันที
“ทำกับข้าวอย่างงี้ทุกวันหรือฮะ?”วทันยูเอ่ยถามบ้าง
“เปล่าค่ะ วันไหนขี้เกียจออกไปกินข้าวนอกบ้านค่อยทำ”อรปรียาตอบยิ้มๆ
“แต่ทำกับข้าวอร่อยมากนะ
ไปเรียนทำกับข้าวมากจากไหนฮะ?”อนพัทธ์กล่าวชมอย่างจริงใจ
ทำให้สาวสามยิ้มปลื้ม มีเพียงธีราภรณ์เท่านั้นที่มองค้อนตาขุ่น
แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ
“ไม่ได้เรียนหรอกค่ะ
ก็แค่ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารมาแล้วลองหัดทำตาม หน้าตามันถึงได้ออกมาแปลกๆอย่างงี้ไง”ทิฆัมพรตอบยิ้มๆ
“เก่งจัง
ถ้าจะฝากท้องทุกวันจะได้ไหมฮะ?”อนพัทธ์ถามทีเล่นทีจริง
ธีราภรณ์ค้อนขวับ “ขอร้อง
อย่ามาตลกบริโภคแถวนี้”
“ผมพูดจริงๆนะฮะ”อนพัทธ์ทำหน้าจริงจัง
“คงยังรับปากไม่ได้หรอกพัทธ์
เอาเป็นว่าวันไหนพวกเราทำกับข้าวจะเชิญมาเป็นเชลล์ ชวนชิมก็แล้วกันนะ”อรปรียาบอกยิ้มๆ
“ขอบใจมากอร
ถ้ามีอะไรจะให้พัทธ์ช่วยก็บอกได้เลยนะไม่ต้องเกรง ตัดหญ้าทำสวนพัทธ์ทำได้หมดแหละ”ชายหนุ่มขันอาสา
“หึ!”ธีราภรณ์ทำหน้าหมั่นไส้
“อื่อ
ถ้ามีอะไรให้ช่วยแล้วจะบอก”อรปรียาตอบรับ
ทั้งหกนั่งกินข้าวพลางคุยกันพลางมีเพียงธีราภรณ์เท่านั้นที่นั่งกินข้าวเงียบๆ
ถามคำตอบคำ และอนพัทธ์ก็คอยถามเซ้าซี้ให้หญิงสาวได้โมโหอยู่หลายครั้ง
ยิ่งเธอโมโหเขาก็ยิ่งชอบใจ
ธีราภรณ์ต้องคอยนับหนึ่งถึงสิบอยู่หลายครั้ง
บางคราคำถามของเขาก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งวง ธีราภรณ์ต้องคอยกัดปากตัวเองไว้ไม่ให้เผลอหัวเราะให้เขาได้ใจ
“จะยิ้มก็ยิ้มเถอะฮะ อย่ากลั้นไว้เลย
ระวังนาเดี๋ยวต่อมยิ้มรวนขึ้นมา จะต้องนั่งยิ้มนอนยิ้มอยู่คนเดียว”
ธีราภรณ์แทบลุกขึ้นกริ๊ด “ฉันไม่ใช่คนบ้านะยะ
จะได้นั่งยิ้มนอนยิ้มอยู่คนเดียว”
อนพัทธ์แสร้งทำคอหดคล้ายหวาดกลัว “ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้นซักหน่อย
คนเค้าเตือนอย่างหวังดีแท้ๆ กลับแปรเจตนาเป็นร้ายไปได้”ชายหนุ่มทำหน้ามุ่ยบ่นพึมพำ
ธีราภรณ์กำส้อมในมือแน่
พลางบอกตัวเองว่า ‘เย็นๆไว้ไอ้ส้อมเพื่อนยาก อย่าเพิ่งอยากลอยไปจิ้มตาคน เย็นไว้ๆ’
“ใจเย็นๆ”อนพัทธ์บ่นพึมพำทำท่าล้อเลียน
คนที่บอกตัวเองใจเย็นๆปรอทแตกทันที “นายอยากตายนักใช่ไหม?”
ธีราภรณ์คว้าถ้วยน้ำพริกแต่วาสินีไวกว่าตะครุบไว้ทัน
“ไอ้พัทธ์!”วทันยูตะคอกเพื่อนอย่างเหลืออด
“เฮ้ย ใจเย็นๆไอ้น้ำ
แกเล็งให้แม่นๆก่อนนะ อย่าให้พลาดมาถึงฉัน”อรปรียารีบบอก
อนพัทธ์ค้อนขวับ “โหอร
ซึ้งเลย”
อรปรียาหัวเราะ “ก็พัทธ์อยากหาเรื่องเองนี่
ถ้าไม่ยอมหยุดนะ คราวนี้อรจะเอาแกงส้มนี่แหละราดหัวแทน”
อรปรียาขู่ อนพัทธ์ชะงักหน้าจ๋อย สงสัยเขาจะเล่นเกินไปหน่อย
“สมน้ำหน้า”ธีราภรณ์เอ่ยอย่างสะใจ
อนพัทธ์กำลังจะทำท่าล้อเลียนคนที่นั่งเผชิญหน้าถ้าไม่ได้ยินเสียงเย็นๆของอรปรียาก่อน
“พัทธ์....”
“คร้าบๆ ผมมันเลว ผมมันไม่ดี ผมมันแตกปลาย”ชายหนุ่มว่าพลางทำท่าสำนึกผิด
อรปรียาส่ายหน้าอย่างปลงๆ ‘พอกัน
คนหนึ่งก็ขี้โมโห อีกคนก็ชอบแกล้ง ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยังกะ “ห่อหมก กับใบตำแย”ซะจริงจริ๊ง’
กินข้าวเสร็จสองหนุ่มก็กุลีกุจอช่วยเก็บสำรับ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”วาสินีรีบห้าม
“ไม่เป็นไรฮะ ให้พวกผมช่วยเถอะ
กินฟรีแล้วยังไม่ช่วยเก็บอีก ผมก็ละอายเป็นเหมือนกันนะ”อนพัทธ์ว่า
“อ้อ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย
นึกว่าหน้าหนายิ่งกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กซะอีก”ธีราภรณ์แบะปาก
“แหมคุณ หน้าผมออกจะบ๊างบาง
ไม่เชื่อจับดูสิ เนี่ยเห็นไหม ใสจนจะเส้นเลือดแล้วนะเนี่ย”ไม่พูดเปล่า
ยังยื่นหน้าไปใกล้ๆอีก
ธีราภรณ์เงื้อมสากที่อยู่ในมือหมายจะฟาดหัวนั่นสักที
ทำให้หน้าที่ยื่นมานั่นหดกลับฉับพลัน
“โห คุณเล่นสากเลยหรือ? ผมไม่ใช่การ์ตูนขายหัวเราะนะจะได้ใช้มุขสากมุมตึก”
อนพัทธ์ทำหน้าขยาด คนอื่นๆจึงหัวเราะขำ
ธีราภรณ์หัวเราะออกมากิ๊กหนึ่งพอรู้ตัวจึงรีบเก๊กขรึม
อนพัทธ์มองคนที่เก๊กหน้าขรึมแล้วต้องส่ายหน้ายิ้มๆ
จะว่าไปแล้วหญิงสาวตรงหน้านี่ก็น่าแกล้งชะมัด
“ไอ้พัทธ์ กลับบ้าน”
วทันยูลากคอเพื่อนที่ทำท่าจะว่าจะเถลไถลอยู่บ้านสาวๆอีกออกจากบ้านไป
“ก็รีบกลับไปไหนวะ
บ้านก็อยู่แค่เนี่ย”คนถูกลากเอะอะโวยวาย
“แล้วนายจะอยู่ทำไมวะ
เกรงใจเขาบ้างสิโว้ย หรืออยากให้เขาเกลียดขี้หน้ามากกว่านี้?”
คำถามนี้ทำให้คนที่คิดไม่กลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกชะงัก
นั่นสินะ ผู้หญิงยิ่งตื้อยิ่งถอยห่าง ต้องทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่ ทำเหมือนเล่นๆและจริงจังนั่นแหละเธอจึงสนใจ
อนพัทธ์ตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้านใหม่
บ้านที่เขาต้องมาอาศัยตลอดหนึ่งเดือนนับจากวันนี้
เมื่อก้าวเข้าไปก็พบเพียงห้องโล่งๆ ไม่มีแม้แต่ทีวี เพราะวันนี้เขาขนมาเพียงที่นอนปิกนิก
เสื้อผ้าและหนังสือบางส่วน วทันยูเองก็เช่นเดียวกัน
“นายนอนได้แน่นะ”อนพัทธ์ถาม เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนก็เคยอยู่ห้องที่สะดวกสบายไม่แพ้กัน
“ทำไมจะไม่ได้
ฉันไม่ใช่คุณชายเหมือนนายนี่”วทันยูย้อน
อนพัทธ์ตบหลังเพื่อนไปป๊าบหนึ่งอย่างหมั่นไส้
“ใครคุณชายกันแน่วะ นายนั่นแหละ ผมสักเส้นยังไม่กระดก”
“ก็ผมฉันมันเป็นอย่างนี้เองนี้หว่า”คนผมไม่กระดกมองค้อน
“ไงดีใจไหมที่ได้อยู่ใกล้หวานใจ?”อนพัทธ์เปลี่ยนเรื่อง
วทันยูยักไหล่ “ก็ดี
ยังดีที่เขาไม่โกรธ”
“นี่นายท่าจะกลัวอร เอามากๆ เลยนะเนี่ย”อนพัทธ์หัวเราะขำ
“ไม่ได้กลัวโว้ย แค่..”
“เกรงใจ ประโยคน้ำเน่าของพวกเผ่าเกลียมัว”อนพัทธ์ขัดขึ้น ก่อนยิ้มเยาะ
“เออ ฉันจะคอยดู ถึงคราวแกเมื่อไหร่แกจะรู้สึก”วทันยูยิ้มหน้าแดงระเรื่อ
“ไม่มีวัน
คนอย่างฉันต้องเป็นผู้นำ ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง”อนพัทธ์ตอบอย่างมั่นใจ
วทันยูส่ายหน้ายิ้มๆ พลางคิดในใจ ‘แล้วฉันจะคอยดู’
แล้วเขาก็เดินเข้าห้องนอนจัดการกับสัมภาระที่วางระเกระกะให้เข้าที่ก่อนออกมาโดยมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างแค่ผืนเดียว
“ฉันอาบน้ำก่อนนะ”
วทันยูบอกเพื่อนที่ยังคงรื้อข้าวของอยู่ในห้อง
“อื้อ”อนพัทธ์ตอบรับโดยไม่หันมอง
ยังคงง่วนอยู่กับการจัดสัมภาระตัวเองให้เข้าที
“เราจะทำยังไงกันดี?”ธีราภรณ์เอ่ยถามอย่างกังวลหลังจากสองหนุ่มกลับไปแล้ว
“ทำอะไร?”วาสินีเอ่ยถามอย่างงงๆ
“ก็.. จะรับมือกับเพื่อนบ้านใหม่ยังไงดี?”ธีราภรณ์ถอนใจอย่างหงุดหงิด
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร
แฟนไอ้อรก็ให้มันจัดการไปสิ”วาสินีว่าอย่างไม่แยแส
ธีราภรณ์ค้อนขวับ เธอไม่ได้กังวลใจเรื่องแฟนอรปรียา
แต่
“แล้วอีกคนล่ะ?”
“เรื่องนั้นแกก็ต้องหาทางเองล่ะนะ
เพราะมันไม่เกี่ยวกับฉัน”วาสินีหัวเราะร่า
ธีราภรณ์ตาโตอย่างคาดไม่ถึง
นี่หรือเพื่อนรัก?
พอมีภัยรีบตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลยนะ
“แกพูดยังงี้ได้ไงวะ ไอ้อ๋อม
แกต้องคิดช่วยฉันสิว่าจะจัดการกับนายนั่นยังไง?”ธีราภรณ์แหว
“แกจะให้ฉันทำยังไงวะ ฉันไม่ใช่เจ้าของบ้านนะโว้ย
จะได้ไล่เขาออกไปได้
อีกอย่างสองคนนี้มาเช่ายังดีกว่าพวกที่มาเช่าเมื่อปีที่แล้วเป็นไหนๆ
หรือแกอยากเจออย่างนั้นอีก?”
วาสินีถามอย่างขยาด เพราะเมื่อปีที่แล้วมีนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งมาเช่าบ้านหลังข้างๆ
ทั้งกินเหล้าเอะอะโวยวาย ทั้งหน้าตาก็น่ากลัว หนวดเคราเฟิ้มยังกะไม่ใช่นักศึกษา
แถมชอบมองพวกเธอแปลกๆ จนต้องวานเพื่อนผู้ชายที่คณะมาคอยเฝ้ายามให้ เป็นช่วงที่สี่สาวต้องนอนผวากันทุกคืน
โชคดีที่คนกลุ่มนั้นเช่าอยู่เพียงแค่สองเดือนแล้วย้ายออกไป ถ้าอยู่นานกว่านั้นล่ะก็สี่สาวคงต้องย้ายหนีแทนแน่
ธีราภรณ์ถอนใจเฮือกใหญ่
ถ้าต้องเลือกระหว่างอนพัทธ์กับนักศึกษากลุ่มนั้น เธอก็ขอเลือกอนพัทธ์ดีกว่า
เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังเกรงใจอรปรียาบ้าง
“เฮ้อ
ทำไมฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคอยไม่ออกอย่างนี้ด้วยนะ”ธีราภรณ์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
“ใจเย็นๆน่า
บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่แกคิดก็ได้”ทิฆัมพรปลอบ
ธีราภรณ์ถอนใจก่อนจะเดินเข้าห้องนอนอย่างหงุดหงิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น