ตอนที่3 ติวเตอร์หน้าใส
หัวใจปิ๊งรัก
อรปรียานอนฮัมเพลงเบาๆคลอตามเครื่องเสียงซึ่งเปิดเพลงป๊อบร็อคนุ่มๆของวงดนตรีวงโปรด
พลางเปิดหนังสือในมืออ่านอย่างมีความสุข หลังจากที่สามารถกำจัดผ้าพันคอเจ้าปัญหาผืนนั้นไปได้
จนกระทั่งธีราภรณ์เปิดประตูห้องนอนเข้ามาเอ่ยชวน
“ไปหาข้าวกินกันเถอะ”
อรปรียายิ้มพลางพยักหน้ารับ
“อืม..”
“เร็วเข้า ขืนชักช้าไอ้อ๋อมเข้ามาคาบหัวแกแน่
หน้ามันยิ่งเป็นตูดอยู่ด้วย”
ธีราภรณ์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป
อรปรียารีบลุกจากเตียง จัดการปิดบ้านล็อกกุญแจ
แล้วรีบเดินไปที่หน้าบ้านดึงประตูรั้วมาปิดล็อกกุญแจโดยไม่สนใจตาเขียวๆของวาสินีที่นั่งหน้างอรออยู่บนรถ
อรปรียาเปิดประตูหลังเข้าไปนั่งข้างคนหน้าบอกบุญไม่รับ
ธีราภรณ์ก็ขับรถเคลื่อนออกไปสู่ถนนหน้าปากซอย
“แกเป็นอะไรนักหนาวะไอ้อ๋อม?”
อรปรียาอดไม่ได้ต้องถามคนที่นั่งหน้างอเป็นม้าหมากรุกอยู่ข้างๆ
วาสินีหน้าหงิกงอลงไปอีก
“ก็ไอ้หยงบ้านะสิ มันเรียกฉันว่ายัยกระดาน”
“มันก็เรียกแกแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”อรปรียามองหน้างอง้ำของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“แต่มันดันมาเรียกฉันต่อหน้าพี่ออฟนะสิ”วาสินีกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด เพื่อนๆจึงถึงบางอ้อ
พี่ออฟ คือรุ่นพี่ที่คณะที่วาสินีแอบปิ๊งมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
แต่ไม่ได้แสดงออก ที่สำคัญคือพี่เขามีแฟนแล้ว ต้นรักต้นนี้จึงไม่มีโอกาสเจริญงอกงาม
เพราะเกิดผิดที่ผิดทางไปหน่อย แต่วาสินีก็พอใจที่จะแอบชอบพี่เขาอยู่อย่างเงียบๆ
แต่..ความลับไม่มีในโลก แถมความลับนี้ยังรั่วไหลไปเข้าหูยรรยงเพื่อนร่วมก๊วนจอมแสบ
ที่มีคติประจำใจ ‘สร้างความร้าวฉานคืองานของเรา’
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดบอดของวาสินีที่ยรรยงมักนำมากลั่นแกล้งเสมอ
เมื่อมีโอกาส
“ช่างมันเถอะน่า แกก็รู้จักไอ้หยงดี
ยิ่งแกโกรธมันก็ยิ่งชอบใจ แกทำเฉยๆซะ มันก็เลิกล้อแกไปเองแหละ”อรปรียาแนะ
วาสินีถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันพยายามแล้วนะแก
แต่ฉันก็อดที่จะโกรธมันไม่ได้”
“โกรธได้ แต่อย่านานได้ไหม
พวกฉันไม่รู้เรื่องต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”ธีราภรณ์ติงเสียงขุ่น
“เออๆ โทษที คราวหลังฉันจะพยายามควบคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้”
“ช่างมันเถอะ
ว่าแต่เราจะไปหาอะไรกินกันดีล่ะ?”อรปรียาเปลี่ยนเรื่อง
“กินส้มตำร้านเดิมเถอะ
พูดแล้วเปรี้ยวปากว่ะ”วาสินีเสนอพร้อมรอยยิ้ม
“สงสัยว่าเลือดในกระแสปลาร้าของแกจะเพิ่มขึ้นแล้วใช่ไหม?”ทิฆัมพรถาม ทำให้คนอื่นๆหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
******************
“ย้ายไปเรียนที่ตึกB ห้อง 205 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
ป้ายประกาศขนาด A4 ถูกแปะไว้ที่ประตูหน้าห้องเรียน
“อะไรวะ?
ทำไมอาจารย์ไม่บอกตั้งแต่คาบก่อนว่าจะย้ายห้องวะ ทำไมต้องให้ถ่อสังขารมาถึงชั้นสามนี้แล้วค่อยบอกด้วย?”
เสียงบ่นพึมพำอย่างหัวเสียของนักศึกษาวิศวโยธาปีสามที่ถูกสั่งย้ายห้องเรียนกะทันหันดังขรมอยู่หน้าห้องเรียน
“เอาน่า...
อาจารย์อาจจะเพิ่งรู้เหมือนกันว่าต้องย้ายห้อง”วทันยูเอ่ยปลอบเพื่อนยิ้มๆ
“กูไม่ได้ใจเย็นเหมือนมึงนะไอ้ทัน
อะไรก็ชั่งแม่งมันตลอดเลย”เพื่อนจอมโวยวายหันหาที่ระบาย
“มึงก็หัดใจเย็นๆบ้างสิวะ
เอะอะโวยวายอย่างนี้แหละสาวถึงทิ้ง”วทันยูพูดจี้ใจดำเพื่อนอย่างจัง
“หุบปากไปเลย เพราะมึงนั่นแหละ นังนั่นถึงทิ้งกู”คนขี้โวยวายชี้หน้า
“ฮะๆๆ ผิดเหรอที่กูเกิดมาหล่อ”วทันยูถามอย่างนึกสนุกที่ได้ยั่วอารมณ์เพื่อน
“มึงไม่ผิด
แต่กูผิดเองที่ไม่ได้เกิดจากบล็อกพิมพ์อันเดียวกับมึง”คนบอกส่ายหน้าอย่างสุดเซ็ง
วทันยูหันเราะชอบใจ
แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเจอสายตาเย็นชาจากอนพัทธ์ นึกยากจะเขกกบาลเพื่อนสักที
โทษฐานที่โกรธกับแฟนแล้วมาพาลกับเพื่อน
กว่าจะเดินจากห้องเรียนเดิมมาถึงห้องเรียนใหม่ก็ใช่เวลาเกือบยี่สิบนาที
ห้องอื่นเข้าเรียนกันหมดแล้ว ทันทีที่นักศึกษาทยอยเข้าห้อง
อาจารย์ที่นั่งรออยู่ก่อนก็เริ่มสอน
เมื่อหมดชั่วโมงเรียนอาจารย์เดินออกจากห้องแล้ว
นักศึกษาต่างทยอยลุกเดินออกจากห้องเรียน พร้อมกับส่งเสียงดังเซ็งแซ่ถามไถ่ว่าจะไปไหนกันต่อ
เพราะวิชานี้เป็นวิชาสุดท้ายของวัน
วทันยูเดินตามหลังอนพัทธ์ออกจากห้องเรียนติดๆ
จู่ๆคนข้างหน้าก็หยุดเดินโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า คนตามหลังจึงชนเข้าอย่างจัง
“เฮ้ย! จะหยุดทำไมไม่บอกกันก่อนวะ”วทันยูเอะอะต่อว่า
อนพัทธ์ไม่ตอบเพียงปรายตามองแวบหนึ่ง
แล้วหันกลับไปมองห้องเรียนข้างๆ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีและเดินตึงตังไปยังบันไดฝั่งตะวันออก
วทันยูเกาหัวอย่างงุนงง เหลียวไปมองห้องเรียนข้างๆบ้าง
แล้วเขาก็เห็นคนมัดผมหางม้าโบกสะบัดไหวๆอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน เดินตรงไปยังบันไดฝั่งตรงกันข้าม
ชายหนุ่มถอนใจเฮือก เพิ่งเข้าใจอาการของเพื่อนรัก เขาเดินตามเพื่อนลงบันไดไปเงียบๆพลางครุ่นคิด
สองคนนี้ทะเลาะอะไรกันนักหนา?
ปกติอนพัทธ์เป็นคนใจเย็น ร่าเริงเป็นนิจ
เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ แทบจะไม่เคยเห็นเขาโกรธใครเลย แต่ทำไมคราวนี้เขาถึงได้โกรธนานขนาดนี้?
“จะไปสนใจทำไมวะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย”
วทันยูบ่นพึมพำว่าตัวเอง พร้อมกับสตาร์ทรถ
แล้วสายตาเขาก็พลันเห็นรถแจ๊ชสีน้ำเงินสดขับผ่านหน้าไป
ก่อนสมองจะสั่งการเขาก็ออกรถขับตามรถแจ๊ชคันนั้นเสียแล้ว
รถแจ๊ชสีน้ำเงินสดแล่นมาจอดหน้าตึกห้องสมุด
หญิงสาวมัดผมหางม้าก้าวลงจากรถเพียงลำพังพร้อมโบกมือลาคนในรถ แล้วรถคันนั้นก็เคลื่อนจากไป
หญิงสาวหันกลับ ซอยเท้าขึ้นบันไดห้องสมุดอย่างกระฉับกระเฉง
หญิงสาวหน้าใสนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหลังสุดติดหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใสบานยาวไม่ได้รูดม่านปิดในห้องนวนิยายและวรรณกรรม
เธอไม่ได้สนใจหนังสือที่วางกางอยู่บนโต๊ะแต่เบือนหน้าออกไปมองดูดอกอินทนิลสีม่วงแซมขาวบานสะพรั่งเต็มต้นที่กำลังไหวเอนตามแรงลมอยู่ข้างหน้าต่าง
กลีบดอกไหนถึงกาลโรยราก็ร่วงหล่นและโดนลมพัดปลิวว่อนไปทั่วคล้ายกับผีเสื้อตัวน้อยๆนับร้อยบินร่อนเล่นลม
ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ....
พลั๊ก!
“โอ๊ย!”
เสียงร้องเบาๆดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับโต๊ะตัวที่เธอนั่งอยู่นั้นเกิดการสั่นสะเสือนอย่างรุนแรง
หญิงสาวหันขวับไปมองหน้าคนซุ่มซ่ามทันที
ร่างสูงที่งอตัวลงด้วยความเจ็บปวดนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้น หญิงสาวกระพริบตา
ก่อนอุทานเบาๆ
“อ้าวคุณ!
เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
แม้ร้องทักเบาๆ แต่เมื่ออยู่ในห้องที่เงียบสงัด
เสียงที่คิดว่าเบาแสนเบากลับดังก้อง คนที่อยู่ในห้องนั้นหันมามองเธอเป็นจุดเดียว
“นั่งลงก่อนไหม
คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”หญิงสาวลดเสียงให้เบาลงราวกระซิบ
ทั้งน้ำเสียงและแววตาแสดงชัดว่าห่วงใยจากใจจริง
ทำให้ชายหนุ่มยิ้มเขิน เขาทรุดตัวลงนั่งตามคำเชิญ
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ
ขอโทษนะที่ผมซุ่มซ่ามไปหน่อย เผอิญผมอ่านหนังสือเพลินไปหน่อยน่ะ”
หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรค่ะ
เพราะฉันก็เป็นอย่างนี้ประจำ”
ชายหนุ่มมองรอยยิ้มนั้นพร้อมบอกกับตัวเอง
‘เจ็บตัวเล็กน้อยแค่นี้ แลกกับรอยยิ้มนี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วล่ะ’ เขามองหนังสือที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะ
“เรียนเล่มนี้อยู่หรือฮะ?”
มันเป็นวิชาที่เขาเรียนแล้วเมื่อปีหนึ่ง
และเป็นวิชาที่เธอต้องไปเรียนที่ตึกคณะเขาในเทอมนี้
อรปรียาพยักหน้ารับพร้อมยิ้มแหย “ค่ะ พอดีวันจันทร์มีสอบ”
“สอบเก็บคะแนนหรือฮะ?”
“ค่ะ แต่จะสอบเก็บคะแนนหรือสอบจริง
ก็คงไม่ต่างกันหรอก เพราะฉันคงทำมันไม่ได้”หญิงสาวทำหน้าเศร้า
“ทำไมไม่ให้ไอ้พัทธ์ช่วยติวล่ะครับ? ไอ้พัทธ์เรียนเก่งจะตาย”ชายหนุ่มแนะ
อรปรียายิ้มแหย
ไม่อยากบอกว่าเธอต้องทะเลาะกับเพื่อนก็เพราะผ้าพันคอของอนพัทธ์นั่นแหละ
เพิ่งจะคืนดีกันได้ไม่กี่วันมานี่เอง ถ้าขืนให้อนพัทธ์มาติวหนังสือให้อีก มีหวังเพื่อนต้องเลิกคบกับเธอแน่
“เขาคงไม่ว่างมังคะ”อรปรียาตอบเลี่ยงๆ
แต่วทันยูกลับเข้าใจว่าทั้งคู่ยังคงโกรธกันอยู่
แต่เขาก็ไม่ได้ถามต่อ ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“ผมมีแลกเซอร์เก่าอยู่ คุณจะเอาไว้อ่านไหม?”
หญิงสาวทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง
แววตายินดีอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วคุณไม่ต้องให้น้องรหัสหรือคะ?”
“อ๋อ น้องรหัสผมเรียนแล้ว
และอีกอย่างมันเก่งกว่าผมอีก”ชายหนุ่มตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ
อรปรียาลังเลนิดหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มหวาน
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ก็อยากได้ค่ะ”
ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหายใจออกยาวๆหลายครั้งกว่าหัวใจเขาจะกลับมาเต้นจังหวะปกติ
เธอไม่รู้หรือไงนะว่ารอยยิ้มของเธอน่ะมีผลกับต่ออัตราการเต้นของหัวใจของคนอื่นขนาดไหน?
“ไม่รบกวนเลยฮะ
เก็บไว้กับผมก็รกห้องเปล่าๆ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างผมก็ยินดี”
‘โอ๊ย! ยังกะเทพบุตรแน่ะ
หล่อสุดๆแถมยังใจดีอีกต่างหาก’ อรปรียาแอบกรี๊ดในใจ
แต่ที่แสดงออกได้ตอนนี้คือยิ้มขอบคุณเขา
“ขอบคุณนะคะ คุณใจดีจัง”อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมเป็นคำพูด
ชายหนุ่มยิ้มเขิน
เขาหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง พลอยทำให้หญิงสาวหันตามไปด้วย
“หาอะไรคะ?”
“เอ่อ.. เปล่าครับ
แล้วผมจะเอาแลกเซอร์มาให้คุณได้ยังไง?”
“อ๋อ
พรุ่งนี้ฉันมีเรียนที่คณะคุณ ที่ตึกB ตอนสี่โมงเย็นน่ะค่ะ
แต่ถ้าคุณไม่เจอฉัน มาที่ห้องสมุดก็ได้ เพราะฉันจะสิงสถิตอยู่ที่โต๊ะนี้เป็นประจำแหละ”
“เอ่อ.. ขอโทษค่ะ ให้ฉันไปหาคุณดีกว่าไหมคะ?”หญิงสาวถามอย่างเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองควรจะเป็นฝ่ายไปรับเองมากกว่า
“ไม่เป็นไรครับ
เพราะผมก็มาห้องสมุดทุกวันอยู่แล้ว”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ชายหนุ่มบอกต่อในใจ
“คุณต้องสอบถึงบทไหน?”
พอพูดถึงเรื่องสอบหญิงสาวก็ถอนใจทำหน้าเศร้าอีกครั้ง
“บทที่ห้า แต่ฉันเพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่ถึงสิบหน้าเลย”
“ให้ผมติวให้ไหม?”ชายหนุ่มลองเสนอตัว
อรปรียาตาโต คนอะไรจะใจดีขนาดนี้
“ผมไม่เก่งเท่าไอ้พัทธ์หรอกนะ
แต่วิชานี้ก็พอรู้เรื่องบ้าง”ชายหนุ่มออกตัว
“ยังดีนะคะ
ที่คุณยังพอรู้เรื่อง แต่ฉันไม่รู้เรื่องเลย”หญิงส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“แล้วคุณจะให้ผมติวให้ไหม?”ชายหนุ่มถามซ้ำเขินๆ ‘เราแสดงออกเกินไปหรือเปล่านะ’
อรปรียารีบพยักหน้ารับอย่างยินดี “ถ้าไม่ลำบากคุณเกินไป
ก็ขอรบกวนด้วยค่ะ”
แล้วหญิงสาวก็ยิ้มแหยอีกครั้ง
ก่อนบอกเสียงอ่อย “แต่คุณคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ เพราะเจอนักเรียนหัวขี้เลื่อยอย่างฉันเข้า”
“ไม่เป็นไร เพราะผมก็หัวขี้เลื่อยเหมือนกัน”
เขาย้ายมานั่งลงข้างๆเธอเพื่อความสะดวกในการติวหนังสือ
“ไปแบบช้าๆนะคะ เดี๋ยวตามไม่ทัน”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ
“ครับ”
ชายหนุ่มอยากบอกว่า..จะเร็วหรือช้าไม่สำคัญสำหรับเขา
ขอเพียงมีเธอนั่งเคียงข้างอย่างนี้ ต่อให้ต้องนั่งติวหนังสือทั้งคืนก็ยังไหว
ชายหนุ่มเริ่มตั้งแต่หน้าแรก
เขาอธิบายถึงที่มาที่ไปของสูตรคำนวณ
บางครั้งก็ต้องวาดภาพประกอบเพื่อให้หญิงสาวเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเธอก็พยายามจดในสิ่งที่เขาอธิบายอย่างละเอียด
“ตัวหนังสือคุณน่ารักดีนะ”
เขาเอ่ยชม ความจริงเขาอยากจะบอกต่อว่า ‘เหมือนเจ้าของเลย’แต่ก็กลัวเธอจะมองเขาเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้จึงต้องยั้งใจไว้ เธอยิ้มให้เขาไม่ว่าอะไร
เขาอยากถามเธอว่าทะเลาะอะไรกับอนพัทธ์ แต่ก็กลัวเธอจะว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่อง
เขาจึงต้องเงียบไว้
ติวไปได้เพียงเล็กน้อย เขาก็รู้หญิงสาวไม่ใช่คนหัวขี้เลื่อยอย่างที่บอก
ตรงกันข้าม เธอสามารถเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็ว เขาอธิบายเพียงนิดเดียวหญิงสาวก็เข้าใจแล้ว
และที่สำคัญเธอจำสูตรที่ใช้คำนวณได้ทั้งหมด
“ไหนบอกว่าไม่เก่งไง? ทำไมจำสูตรได้ทุกสูตรเลยล่ะ?”ชายหนุ่มอดถามไม่ได้
“ก็ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองนี่ค่ะ
แต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ยังไง”
หญิงสาวบอกพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยี ยิ้มที่ทำให้หัวใจคนมองมีอาการเหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศขนาดใหญ่อีกครั้ง
ชายหนุ่มอยากจะบอกเหลือเกินว่าอย่ายิ้มอย่างนี้บ่อยๆได้ไหม
เห็นทีไรหัวใจเขากระตุก เกิดมันไม่อยากเต้นขึ้นมาเฉยๆ ใครจะรับผิดชอบ
“ฮือ? มีอะไรติดหน้าฉันเหรอคะ?”หญิงสาวถามพลางลูบแก้มตัวเองอย่างไม่แน่ใจ
ชายหนุ่มได้สติ เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอจ้องหน้าเธอนานไปหน่อย
“ปละ.. เปล่า คุณมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจอีกไหม?”
“อืม..ไม่รู้สิ เพราะฉันยังไม่ได้ลองทำแบบฝึกหัดดูเลย”
“อืม งั้นลองทำดูสิ
ผมจะช่วยดูว่าทำถูกไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณ
ก่อนลงมือทำแบบฝึกหัดท้ายบทอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มมองคนที่นั่งข้างๆด้วยแววตาอ่อนหวาน
อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตอนนี้เหลือเกิน ทำไมเขาถึงเพิ่งมาเจอเธอตอนนี้นะ?
อรปรียาทำแบบฝึกหัดอย่างสนุกเพราะคนสอนมีเทคนิคในการสอนทำให้เข้าใจง่าย
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาวรีบค้นหามันจากกระเป๋าสะพายและกดรับ
“นี่ไอ้อร แกไปมุดหัวอยู่รูไหนวะ? พวกฉันรอแกจนท้องกิ่วแล้วนะ”เสียงวาสินีแว๊ดมาทันทีตามประสาคนขี้โมโห
“หือ?”อรปรียานิ่วหน้า
จะหิวอะไรนักหนา เพิ่งจะกินไปหยกๆ
“ไม่ต้องมาหือเลยแก
รู้ไหมว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว?” คนโมโหหิวยังคงส่งเสียงแว๊ดๆไม่หยุด
อรปรียาพลิกข้อมือมองนาฬิกา ก่อนทำตาโต
“ห๊า!
นี่มันสองทุ่มแล้วเหรอ”
“ก็เออสิ
แกคิดว่าเพิ่งสองโมงเช้าหรือไง?”ปลายสายประชดเสียงเขียว
“เออ..โทษที
ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”อรปรียาตอบเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิด
“ลงมาเร็วๆนะแก
ขืนชักช้าพวกฉันปล่อยให้แกเดินกลับบ้านเองแน่”วาสินีขู่ก่อนกดวางสาย
อรปรียาหันหน้าไปมองคนข้างๆพร้อมยิ้มแหยขอโทษ
“ความจริงฉันอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณคุณนะคะ
แต่พวกนั้นกำลังโมโหหิว ขืนฉันเบี้ยวไม่ไปกินข้าวด้วย มีหวังฉันต้องกลายเป็นอาหารเย็นของพวกมันแน่”เธอบอกเขาเสียงอ่อย สีหน้ากังวลด้วยความเกรงใจ
วทันยูยิ้มอ่อนโยนส่งให้ “ไม่เป็นไรครับ
พรุ่งนี้เจอกันนะ”
“อ๊ะใช่!”หญิงสาวอุทานอย่างนึกได้
“ งั้นพรุ่งนี้ฉันขอจองคิวดินเนอร์ของคุณนะคะ”
หัวใจชายหนุ่มกระตุกอย่างแรงอีกครั้ง
ก่อนมันจะเต้นระรัวแทบกระเด็นกระดอนออกมานอกอก
“ไม่เป็นไรครับ
คุณอย่าคิดมากเลย”เขาตอบปฏิเสธทั้งๆที่อยากตอบรับแทบขาดใจ
“แต่คุณอุตส่าห์มานั่งติวให้ฉันตั้งนาน
ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณตอบแทนเถอะ ไม่งั้นฉันไม่สบายใจ”หญิงสาวยืนยัน
“งั้นก็...ด้วยความยินดีครับ”
อรปรียายิ้มหวานก่อนยกมือไหว้เขา “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์สละเวลามาสอนคนหัวขี้เลื่อยอย่างฉัน”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “คุณนี่ชอบไหว้ผมจัง
ผมดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
หญิงสาวตาโตรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อ๊ะ! ไม่ใช่ มันเคยตัวน่ะค่ะ
ฉันไปก่อนนะ ขืนช้ากว่านี้มีหวังแย่แน่”
แล้วหญิงสาวกระวีกระวาดเก็บหนังสือ
โบกมือลาเขาก่อนจะเดินจ้ำออกจากไป ห้องชายหนุ่มลุกขึ้นเดินตาม
เห็นเพียงผมหางม้าที่โบกไสวลงบันได ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ ‘ทำไมไม่ลงลิฟท์ไปนะ?’
วทันยูเดินไปที่ลิฟท์ซึ่งอยู่กึ่งกลางของแต่ละชั้น กดปุ่มลง
รอเพียงครู่เดียวประตูลิฟท์ก็เปิดออก ชายหนุ่มก้าวเข้าไป กดชั้นที่หนึ่ง พร้อมกดปิด
ลิฟท์เลื่อนลงมาที่ชั้นที่หนึ่งอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มก้าวออกมาลิฟท์พร้อมมองหาคนที่ลงบันไดมาก่อน
แต่ไม่เห็นแม้เงา เขายิ้มละไม
เดินออกจากห้องสมุดอย่างไม่รีบร้อน
พลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเธอ โดยพยายามไม่นึกถึงผู้ชายอีกคนที่เป็นเหมือนหนามที่คอยโผล่มาทิ่มแทงใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น