ตอนที่ 6 เส้นบางๆที่กั้นกลางระหว่างเรา
“ไม่เป็นไรน่าพัทธ์ อรถือเองได้”
อรปรียาพยายามแย่งหนังสือจากมือคนที่แอบมาฉกหนังสือในมือไปตอนทีเผลอคืน
แต่เขากลับชูมันขึ้นเหนือศีรษะซึ่งสูงเกินกว่าเธอจะเอื้อมถึง หญิงสาวจึงทำได้แค่มองค้อนเขาอย่างหงุดหงิด
อนพัทธ์มักแวะเวียนมาหาเสมอ เวลาที่พวกเธอมีเรียนที่คณะของเขา
เพราะเรียนห้องติดกันดังนั้นชายหนุ่มจึงถือโอกาสเข้ามาเป็นแขกไม่ได้รับเชิญก่อนอาจารย์ประจำวิชาจะมาถึงเป็นประจำ
แม้จะโดนธีราภรณ์วีนใส่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่เคยเข็ด แถมยังชอบมายั่วให้หล่อนเดือดยิ่งขึ้นอีก
อรปรียาได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“อร ที่หน้ามอมีขนมจีบร้านนึงอร่อยมาก
ลองไปชิมกันไหม?”อนพัทธ์ช่างสรรหาร้านอาหารที่เธอโปรดปรานมาหลอกล่ออยู่เสมอ
“จริงอะ ร้านไหน?”อรปรียาถามอย่างสนใจตาเป็นประกายแวววาว
“ไอ้อร
เย็นนี้เราตกลงกันแล้วว่าจะกินส้มตำ ห้ามเบี้ยว”ธีราภรณ์เตือนเสียงเข้มมองตาเขียว
อรปรียาจึงยิ้มแหย
“กินแต่ส้มตำ
ระวังเป็นโรคขาดสารอาหารกลายเป็นเด็กเอ๋อนะครับ”อนพัทธ์แกล้งแหย่
“นายนะสิเป็นโรคเอ๋อ”
ธีราภรณ์ตวาดแว้ดโกรธจนหน้าแดงก่ำ อยากจะหาอะไรแถวนั้นมาประทุษร้ายผู้ชายคนนี้ให้เจ็บตัวเสียบ้าง
จะได้เลิกมาวอแวกับพวกเธอเสียที
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด
เขากลับหัวเราะชอบใจเสียอีก ซึ่งทำให้เธอโมโหยิ่งขึ้น อรปรียา วาสินีกับทิฆัมพรพากันหัวเราะขำกับการต่อล้อต่อเถียงที่ไม่มีวันสิ้นสุดของทั้งคู่
ทั้งหมดเดินตามกันลงบันไดไปโดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามอย่างปวดร้าวใจ
************
วทันยูนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดรอใครบางคนอย่างทุรนทุรายใจ
ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองต้องมีสภาพเช่นไรแต่เขาก็ไม่อาจหักห้ามใจตังเองได้ จึงต้องทนทรมานเช่นนี้
‘พรุ่งนี้เจอกันที่เดิม’ คำสัญญาที่เป็นเพียงลมปาก พัดผ่านแล้วหายลับ
ป่านนี้เธอคงกินขนมจีบพลางนั่งจีบกับเขาคนนั้นอย่างมีความสุข
แต่เขาซิ วิ่งโร่มานั่งรอหิวจนแสบไส้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
“ขอโทษค่ะ รอนานไหม?”
เสียงถามปนเสียงหอบเบาๆ
ทำให้ชายหนุ่มเกือบจะหลุดคำพูดประชดให้สะใจ
‘ไม่นานหรอก
แค่รากงอกแค่นั้นเอง’
แต่เห็นหน้าจ๋อยๆสายตาสำนึกผิดของคนตรงหน้าคำประชดประชันที่คิดไว้พลันมลายหายไปสิ้น
ตอนนี้มีเพียงความเห็นใจ เธอเองก็คงต้องคอยหลบเขาคนนั้นมาเช่นกัน
“ไม่เป็นไร ผมอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาเลยล่ะ” ‘ไอ้ตอแหลเอ๊ย แกอ่านได้ไม่ถึงบรรทัด
ทำคุยว่าอ่านเพลิน’ เสียงเล็กๆดังแว่วในใจแต่เขาไม่สนใจมัน
“กินอะไรหรือยังคะ?”อรปรียานั่งลงพร้อมกับถามเขาอย่างห่วงใย ไม่รู้เขามารอตั้งแต่เมื่อไร
วทันยูกำลังจะโกหกว่า ‘กินแล้ว’ แต่เขาเปลี่ยนใจบอกความจริงออกไป อยากรู้ว่าเธอจะว่ายังไง
“ยังเลย”
“ตายจริง สองทุ่มกว่าแล้วนะ
ทำไมยังไม่กินอะไรอีก ไม่หิวแย่เหรอ”คนถามแสดงอาการห่วงใยชัดเจน
“ก็กลัวว่าอรมาแล้วไม่เจอ”คำพูดของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดยิ่งขึ้น
“โธ่ทัน คราวหน้าไม่ต้องรออรแล้วนะ
ถ้าอรมาช้ากว่านี้ ทันไม่แย่เหรอ”อรปรียาบอกอย่างรู้สึกผิด
ทั้งนึกโมโหเพื่อนๆที่ไม่ยอมปล่อยเธอมาห้องสมุดสักที
“ไม่เป็นไร นานแค่ไหนทันก็รอได้”
ชายหนุ่มบอกเสียงหนักแน่น แม้รู้ดีว่าต้องทำให้เธอลำบากใจ
แต่เขาอยากให้เธอรู้ว่าเขายังรอเธออยู่เสมอเช่นกัน
“ไม่เอาค่ะ คราวหลัง
กินอะไรมาก่อนดีกว่าเนอะ จะได้มีแรงนั่งรอ โอเคไหมคะ?”หญิงสาวยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าแทนการเซ็นต์สัญญา
ชายหนุ่มยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวกับนิ้วน้อยๆนั้นอย่างเต็มใจ
“โอเคครับผม
แต่ตอนนี้ทันหิวมากเลยอะ”
ชายหนุ่มอ้อน หญิงสาวจึงยิ้มกว้าง
ยิ้มที่เสมือนยารักษาโรคหัวใจของผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งให้สามารถทนรับความทรมานนี้ต่อไป
“งั้นไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”หญิงสาวเอ่ยชวนเสียงใส
“ครับ อรอยากกินอะไรจ๊ะ?”ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนอย่างยินดี
“อะไรก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหย เพราะเธอเพิ่งกินข้าวกับเพื่อนๆมาหยกๆ
“ไปไหนดี หลังมอ หรือ หน้ามอ?”ชายหนุ่มถาม
“แล้วแต่ทัน”
คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่ม
รู้สึกคันในหัวใจ ถ้าชวนไปที่ไหนๆ...เธอยังจะตอบว่า ‘แล้วแต่ทัน’
อีกไหม แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะตอนนี้เขาก็เสี่ยงที่จะไม่ได้เจอเธออีกมากพออยู่แล้ว
“แล้วอรพักแถวไหน?”
“หลังมอค่ะ”หญิงสาวตอบเสียงใสขณะเดินเคียงกันไปเข้าลิฟท์
ประตูลิฟท์ปิดเข้าหากัน คล้ายกับปิดกั้นคนทั้งคู่ออกจากโลกภายนอก
ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเบาๆของกันและกัน ชายหนุ่มจ้องมองจนคนถูกจ้องรู้สึกขัดเขิน
“มองอะไรนักหนา?”
ถามเสียงแผ่วไม่กล้าสบตา พลันในหัวก็คิดถึงเหตุการณ์ที่บันไดเมื่อวันก่อนทำให้หน้าใสแดงระเรื่อขึ้นทันที
“คิดอะไรอยู่จ๊ะ?”ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วใกล้หู
หญิงสาวผงะถอยห่างอย่างตกใจ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
หน้าใสแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
วทันยูอมยิ้มตาวาววับอย่างพึงใจ
กับปฏิกิริยาของคนข้างกายแต่เขาก็ไม่กล้าลุกไล่เธอมากกว่านี้ เพราะกลัวเธอจะตกใจหนีหายไปเสียก่อน
สองหนุ่มสาวเดินตามกันไปปะปนกับผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ไปตามร้านค้าต่างๆที่ตั้งแผงลอยขายของ
แม้จะเกือบสามทุ่มแล้วแต่ ‘หลังมอ’ ยังคงคึกครื้นไม่แพ้ตอนหัวค่ำ อรปรียาโดนคนที่เดินสวนมาเบียดจนเซถลา
แต่โชคดีที่วทันยูคว้าแขนไว้ทัน จึงช่วยฉุดดึงไม่ให้เธอล้มคะมำลงพื้น
“คุณนี่
อยู่ห่างสายตาไม่ได้เลยจริงๆนะ”เขาว่ายิ้มๆ
แต่มือที่เกาะกุมไม่ยอมวาง
“ขอบคุณค่ะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณเขาเบาๆ
และประโยคหลังเป็นความหมายให้เขาปล่อยมือเธอเสียที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ
ยังคงกุมข้อมือน้อยไว้มั่น
“ไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว”เขาว่าพลางลากคนที่มองค้อนประหลับประเหลือกให้เดินตาม
“อ๊ะ ขนมจีบ”อรปรียาหยุดชะงักเมื่อเจอของโปรด
“ยังไม่อิ่มอีกหรือ”
ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามข่มอารมณ์เอาไว้เต็มที่แล้ว
แต่เสียงที่ลอดออกมายังคงกระด้างอยู่ดี
หญิงสาวหันมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
ก่อนจะยิ้มแหย
“อิ่มแล้ว แต่อยากกินอีก”
“ผมไม่ชอบขนมจีบ”ชายหนุ่มบอกเสียงแข็งใบหน้าบึ้งตึง
“ไม่กินก็ได้ค่ะ”หญิงสาวบอกเสียงอ่อย เดินตามไปอย่างว่าง่าย
วทันยูถอนใจยาว
ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้นะ ทั้งๆที่รู้ว่านั่นเป็นของชอบของเธอยังพูดทำลายน้ำใจเธอได้
เธอจะเคยกินมันกับใครมาก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ทำไมเขาต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ด้วย ทำให้เธอไม่สบายใจ
ทั้งๆที่ตั้งใจแล้วว่าจะทำให้เธอมีความสุขที่สุด แต่สิ่งที่เขาทำลงไปกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
แล้วอย่างนี้ยังหวังให้เธอหันมามองอีกหรือ ชายหนุ่มนึกตำหนิตัวเอง
“อรจะกินอะไรอีกไหมจ๊ะ?”ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนโยนยิ่งเพื่อทดแทนคำพูดเมื่อสักครู่
“ยังอิ่มอยู่เลยค่ะ
ทันไปหาอะไรกินเถอะ อรนั่งจะรอที่นี่แหละ”หญิงสาวบอกพร้อมรอยยิ้ม
เธอเลือกโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางลานขายอาหารที่สามารถซื้ออาหารตามร้านต่างๆที่ตั้งขายรายล้อมเป็นวงมานั่งกินได้โดยไม่แบ่งแยกว่าโต๊ะไหนเป็นของร้านไหน
“งั้นรอทันแป็บนึงนะ”ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ
“จ้า”
หญิงสาวยิ้มรับ พลางมองตามชายหนุ่มที่เดินผละไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะหันไปมองบรรยากาศรอบๆ นักศึกษาชายหญิงต่างเดินหาของกินกันขวักไขว่
เป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ‘หลังมอไม่เคยหลับ’เป็นคำนิยามที่ลงตัวที่สุด ไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหน ที่แห่งนี้ก็ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ได้ขาด หลังเที่ยงคืนเป็นเวลาของเหยี่ยวราตรีที่เพิ่งกลับมาหาของกินก่อนจะเข้ารังนอน
เช้าตรู่เป็นเวลาของนักบุญที่ออกมาซื้อหาอาหารเตรียมใส่บาตร ดังนั้นทุกช่วงเวลาจึงมีลูกค้าประจำแวะเวียนมาไม่เคยขาด
ที่นี่มีของขายมากมายตั้งแต่สากกระเบือ แต่ไม่ถึงขนาดมีเรือรบ แต่ก็เรียกได้ว่ามีครบทุกความต้องการของลูกค้า
“อ๊ะ มีของมาฝาก”
ของฝากที่วางตรงหน้าทำให้หญิงสาวตาโต
“ก็ไหนว่าไม่ชอบขนมจีบไงคะ?”หญิงสาวถามอย่างกังขา
“ก็แค่อยากแกล้งคนเล่น”คนตอบอมยิ้มตาพราว ทำให้ได้รับค้อนวงโตทันที
“มีคนบอกว่ามีร้านอร่อยแถวหน้ามอ
วันหลังต้องตระเวนไปชิมเสียหน่อย”คนเล่ายิ้มกริ่มพลางจิ้มขนมจีบเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ยังไม่ได้ไปกินเหรอ?”ชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“ยังค่ะเพิ่งรู้วันนี้เอง”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังสีหน้าดีขึ้นทันที
“แล้วมื้อเย็นกินอะไรมา?”เขาซัก
หญิงสาวยิ้มเขิน “ข้าวเหนียว
ส้มตำ ไก่ย่าง”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างยินดี
เพราะเขารู้ดีว่า ใครคนนั้นไม่มีทางกินอาหารพวกนี้แน่
“กินกับใครบ้าง?”ถึงแม้จะรู้คำตอบก็ยังอยากได้คำยืนยัน
“ก็เพื่อนๆที่คณะ
เข้ากลุ่มกันทีไรกว่าจะสลายตัวได้ก็ทำให้คนอื่นเขารำคาญแทบแย่”
เพิ่งจะรู้เหตุผลจริงๆที่ทำให้เธอมาช้า
เขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก พลางนึกตำหนิตัวเองที่ชอบคิดเองเออเองจนทำให้เข้าใจเธอผิดอยู่เรื่อย
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเพลิดเพลินกับการกินพลางคุยกันพลางอยู่นั้น อรปรียาก็เหลือบเห็นลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เดินใกล้เข้ามา เธอชะงักทำหน้าตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ..
พอดีอรเพิ่งนึกได้ว่ามีนัด ขอตัวก่อนนะคะ”
อีกฝ่ายยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร
หญิงสาวก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน แผล็บเดี๋ยวก็หายลับไปท่ามกลางฝูงชน
วทันยูยังมีอาการงงๆกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่
ชายหนุ่มหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นอนพัทธ์เดินมากับหญิงสาวกลุ่มใหญ่
เขากับกำลังหยอกล้อกับหญิงสาวเหล่านั้นอย่างสนุกสนาน
วทันยูวางช้อนทันทีความหิวที่มีหายไปอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างอ่อนล้า นี่เขาต้อนทนอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน?
**************
วทันยูเดินเข้าห้องเรียนอย่างซึมเศร้า
จากวันนั้นที่ไปกินข้าวกับเธอมาจนดึงวันนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าเธอเลย
เขาไปนั่งรอเธอที่ห้องสมุดทุกวันจนห้องสมุดปิด
แต่เธอก็ไม่เคยมา
‘หรือว่าวันนั้น ไอ้พัทธ์เห็นเธออยู่กับเขาจนทำให้มีเรื่องมีราวกัน
เธอจึงไม่มาเจอเขาอีก’ชายหนุ่มคิดอย่างไม่สบายใจ
ทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องของเธอกับเขาจะลงเอยเช่นไร
แต่ทำไมเขายังฝืนทนอยู่อีก...เขาควรตื่นจากฝันได้แล้วใช่ไหม
จากชายหนุ่มที่เคยสดใสร่าเริง กลับกลายเป็นคนซึมเศร้าเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคนภายในเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียว
จนรูมเมทต้องคอยไถ่ถามอย่างห่วงใย
“แกเป็นอะไรไปวะไอ้ทัน?”
“ไม่รู้ว่ะ มันเนือยๆจนไม่อยากทำอะไร”วทันยูตอบเสียงแห้งแล้ง
“ไปให้หมอตรวจดูหน่อยดีกว่าไหม?”ศรุตเสนออย่างกังวลใจ
วทันยูอยากจะหัวเราะ
เพราะอาการของเขาตอนนี้ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ไม่มีทางรักษาได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
“แกเป็นอะไรกันแน่วะ?”
วทันยูฝืนยิ้มนิดหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องเรียน และแล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาที่เดินขึ้นมาทางบันไดฝั่งตะวันตก
ชายหนุ่มรีบเดินเข้าห้องเรียนของตน เขายอมรับว่ายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเธอ
กลัวจะเจอกับความเย็นชา ซึ่งเขาคงรับมันไม่ได้ ถึงแม้จะเข้าห้องเรียนไปแล้วแต่เขาก็ยังรีรออยู่แถวหน้าประตู
ไม่กล้าเจอกันจังๆ แต่ก็ยังอยากเห็นหน้า
เสียงคุยกันเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ ดังประสานกันทั้งคณะของเขาและคณะของเธอที่เริ่มทยอยมาเข้าห้องเรียน
และแล้วหัวใจเขาก็เต้นถี่เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ
“อ้าวไอ้อร แกมาด้วยหรือวะ?”
เขาไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
เพียงแค่ได้ยินชื่อหัวใจเขาก็เต้นรัวกระหน่ำ
แล้วหัวใจเขาก็ต้องหล่นวูบเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“แกออกจากโรง’บาลตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
คราวนี้วทันยูได้ยินเสียงตอบอย่างแผ่วเบา
“เมื่อวาน”
‘เธอเป็นอะไร
ทำไมต้องเข้าโรงพยาบาล?’
“ทำไมแกต้องรีบมาเรียนด้วยวะ
น่าจะพักก่อน ดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย”
เสียงวิจารณ์นั้น ทำให้วทันยูอยากจะวิ่งไปดูเธอให้เห็นกับตา
แต่ติดที่อาจารย์ประจำวิชาที่ก้าวเข้าห้องเรียนมาแล้ว ชายหนุ่มจึงจำต้องนั่งเรียน
ทั้งๆที่รู้สึกเร่าร้อนราวกับนั่งอยู่บนกองเพลิง
‘ไอ้พัทธ์จะรู้ไหมนะว่าเธอเป็นอะไร?’
วทันยูนิ่วหน้ามองดูอนพัทธ์ที่กำลังก้มจดเลกเซอร์อย่างตั้งใจ พลางคิดว่า ‘น่าจะรู้
เพราะแฟนไม่สบายทั้งคน จะไม่รู้เรื่อง ก็เกินไปหน่อยล่ะ’
เวลาแต่ละนาทีผ่านไปช้าๆราวกับเข็มนาฬิกาจงใจแกล้ง
กว่าจะหมดชั่วโมงวทันยูก็รู้สึกราวกับจะขาดใจตาย
ทันทีที่อาจารย์หยุดสอน
วทันยูก็รีบลุกเดินไปหาอนพัทธ์ทันที
“พัทธ์ แฟนนายเป็นอะไรเหรอ?”พยายามบังคับเสียงให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
“หือ แฟนฉันคนไหนวะ?” อนพัทธ์ถามกลับอย่างงงๆ
“หมายความว่ายังไง คนไหน?”วทันยูตะคอกถามอย่างโมโห ‘นายมีเขาแล้วยังมีคนอื่นอีกเหรอวะ’
“เป็นบ้าอะไรวะ อยู่ๆก็ตะคอกใส่กันได้”อนพัทธ์ถามกลับอย่างแปลกใจ
‘ทำไมเธอต้องเป็นแฟนไอ้บ้านี่ด้วยนะ’ วทันยูมองเพื่อนอย่างแค้นเคือง
“ที่แกถามน่ะหมายถึงใครวะ?”อนพัทธ์ซักอย่างข้องใจ
“ก็คนที่นายบอกว่าเค้าคือคนพิเศษไง
หรือว่านายมีคนพิเศษหลายคนจนจำไม่ได้”วทันยูประชด
“อรเหรอ อรเป็นอะไร?”อนพัทธ์ถามอย่างตกใจ
วทันยูอยากต่อยเพื่อนสักเปรี้ยง ‘เป็นแฟนกันภาษาอะไรวะ
แฟนไม่สบายทั้งคนกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย’
แต่ที่เขาทำได้ตอนนี้แค่ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“เมื่อกี้ฉันได้ยินว่า เค้าเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล
ก็เลยถามแกดู ก็คนเคยรู้จักกัน”เขาบอกต่อ เพราะกลัวเพื่อนจะเข้าใจผิด
แต่ดูเหมือนเพื่อนเขาไม่สนใจจะฟังประโยคนั้น
“ห๊า! จริงอ่ะ?”
อนพัทธ์ตาโตอย่างตกใจ
ก่อนลุกขึ้นก้าวพรวดไปยังห้องข้างๆ วทันยูเดินตามไปอย่างช้าๆ ทั้งๆที่ในใจอยากวิ่งไปหาเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
อรปรียากำลังเก็บหนังสือเรียนเตรียมกลับบ้านเพราะเป็นวิชาสุดท้ายของวัน
อนพัทธ์ก็ก้าวพรวดเข้ามาในห้องเรียน
“อร
พัทธ์ได้ยินว่าอรไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล จริงหรือ?”
อรปรียาเห็นสีหน้าห่วงใยของเพื่อนเก่าก็ยิ้มออกมาได้
“ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ท้องเสีย”
“เหรอ ได้ยินตอนแรกพัทธ์ตกใจแทบแย่”อนพัทธ์ถอนใจอย่างโล่งอก
อรปรียายิ้ม “ขอบใจมากนะพัทธ์ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ อรขอตัวกลับก่อนนะ”
“มาพัทธ์ช่วยถือ”อนพัทธ์แย่งหนังสือจากมือหญิงสาวไปถือเองทั้งหมด
“ไม่เป็นไรหรอก อรถือได้”อรปรียาแย้งพลางแบมือขอหนังสือคืน
“พัทธ์แค่ถือหนังสือให้แค่นี้ไม่ได้หรือไง”ชายหนุ่มถามอย่างน้อยใจ
อรปรียาถอนใจก่อนจะพยักหน้ารับ
อนพัทธ์ยิ้มกว้างอย่างยินดีก่อนทั้งสองจะเดินเคียงข้างกันลงบันไดไป
โดยฝ่ายชายคอยดูแลระแวดระวังจนแทบจะประคองร่างบางทุกอย่างก้าวด้วยความห่วงใย
ไม่มีใครหันกลับมามองใครอีกคนที่ยืนมองภาพนั้นด้วยหัวใจร้าวราน
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังค่อยๆหันหลังกลับเดินจากไปยังบันไดอีกฝั่งอย่างอ่อนล้า ...ถึงเวลาที่เขาควรเป็นฝ่ายถอยออกไปได้แล้วใช่ไหมก่อนจะเจ็บปวดใจมากไปกว่านี้
เฮ้ออออ สงสารทันจัง
ตอบลบ