ตอนที่ 3 ตามตอแย
“อะไรนะ! ชีคนาซจะมาทานอาหารที่นี่ และเชิญเราด้วย”
อาทิตยาถามกลับอย่างหงุดหงิดกับข่าวใหม่ที่ได้รับ
เพราะทันทีที่กลับมาถึงโรมแรมที่พัก
พนักงานต้อนรับก็รี่เข้ามารายงานอย่างนอบน้อมว่า ‘ท่านชีคจะเดินทางมารับประทานอาหารที่นี่และขอเชิญ
‘มิสเตอร์อาทิตย์’ร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยค่ะ’
“ค่ะ”
พนักงานสาวโค้งคำนับนอบน้อมกว่าเดิมเพราะสายตาวาววับที่ตวัดมองมาทำให้เธอสั่นสะท้านในใจ
‘แขกบังคับเชิญ’ถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้ารับทราบ เมื่อพนักงานสาวคนนั้นเดินกลับไป ‘คนรับเชิญ’ก็โยนภาระไปที่มือซ้ายของตนทันที
“ไผทไปก็แล้วกัน”
แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธทันควันเหมือนกัน
“เจ้านายไปน่ะดีแล้ว เผื่อจะได้หาวิธีถ่วงเวลากับท่านชีคได้
ส่วนผมจะเรียกประชุมเตรียมการ แล้วจะรายงานให้ทราบทีหลัง”
ใครเล่าอยากจะไปเผชิญกับ ‘ชีคนาซ อซีซา บาฮจา’เพียงลำพัง แถมเขายังระบุชัดว่าเชิญ ‘มิสเตอร์อาทิตย์’ ไม่ใช่ ‘และมิสเตอร์ไผท’สักหน่อย
ขืนเขาเสนอหน้าเข้าไปแทน ชีคน่ากลัวคนนั้นคงจะไล่ตะเพิดเขาออกมาแน่ แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องปล่อยให้เจ้านายไปพบกับชีคนาซเพียงลำพัง
แต่เขามั่นใจว่า ชีคนาซจะไม่ทำอันตรายเจ้านายของเขาแน่ อีกอย่างคนอันตรายแบบนั้นต้องเจอคนอันตรายแบบนี้แหละถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน
ไผทอมยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่
บาฮจา กรุ๊ป ใครเลยจะคาดคิดว่า เจ้านายของตนจะทำอะไรบ้าบิ่นขนาดจับชีคตัวโตเหมือนยักษ์ทุ่มลงแบบนั้น
เขาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นสายตาวาววับเอาเรื่องของชีคนาซ
เพราะข่าวที่เขารับรู้มา ‘ชีคนาซ
อซีซา คือมัจจุราชแห่งดรูไรดาราน ฆ่าคนได้ง่ายดายราวกระพริบตา’ แต่แล้วเขาต้องประหลาดใจยิ่ง เมื่อท่านชีคไม่เอาเรื่องแถมยังดูเหมือนจะพอใจเจ้านายของตนอยู่ไม่น้อย
‘พอใจ’
ไผทชะงัก มองสำรวจเจ้านายของตนอย่างรวดเร็ว ที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้คือหนุ่มน้อยหน้าสวยเจ้าอารมณ์ที่กำลังโมโหโทโสหันหาที่ระบาย จนทำให้อดหวั่นใจไม่ได้ หวังว่าเจ้านายตัวร้ายคงจะไม่ไประบายอารมณ์กับชีคนาซจนเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นหรอกนะ คนใกล้ชิดมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่า‘คนตัวเล็ก’ตรงหน้านี้ ‘ร้ายกาจ’ขนาดไหน
‘คนตัวเล็ก’ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด คิดหาทางปฏิเสธ
แต่ประตูด้านหน้าของโรงแรมเปิดออกก่อน พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามา ไผทหันไปคำนับทักทาย
ก่อนกระซิบอย่างแผ่วเบากับเจ้านายของตน
“ขอให้โชคดีนะครับ”
แล้วเขาก็รีบเผ่นหนีไปเข้าลิฟท์ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนโชคร้ายเสียเอง
ใบหน้าเรียวเสลามองตามร่างคนที่เผ่นหนีหายไปอย่างเข่นเขี้ยว
‘ฮึ่ม
ฝากไว้ก่อนเถอะ’
ชีคนาซ
ก้าวตรงมาหาคนตัวเล็กที่ยืนหน้าบึ้งตึงรออยู่หน้าลอบบี้ เขาอมยิ้มนึกขัน ‘ไอ้ตัวเล็กนี่มันขี้โมโหจริงๆ
มีเรื่องไหนนะที่จะทำให้มันพอใจได้บ้าง’ เขาไม่เอะใจเลยสักนิดว่าทำไมตนถึงคิดอยากจะทำอะไรให้
‘มัน’พอใจ
“เจ้าชอบอาหารอิตาเลี่ยนไหม?”ร่างสูงเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึง
“อะไรผมกินก็ได้”คนเป็นแขกตอบเสียงสะบัดบ่งบอกสภาวะอารมณ์อย่างไม่คิดจะปิดบัง
“อาหารอิตาเลี่ยนที่นี่อร่อยไม่เป็นสองรองใคร”
ชีคนาซออกใบรับรองโดยไม่สนใจอาการฮึดฮัดของอีกฝ่าย
ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับพนักงานต้อนรับที่ยืนรอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ฝ่ายนั้นโค้งคำนับก่อนจะเดินนำไปยังห้องอาหาร
“ตั้งแต่มาถึงที่นี่
เจ้าได้กินอะไรบ้างหรือยัง?”ท่านชีคถามยิ้มๆเมื่อเดินเคียงข้างกันไป
“ยัง”
ตอบพลางมองหน้าคนถามอย่างระแวง
“มิน่าล่ะ
เจ้าถึงได้หงุดหงิดนัก”ท่านชีคว่าพลางหัวเราะเบาๆ
“ผมไม่ได้โมโหหิว” ‘คนหงุดหงิด’แหวหน้าง้ำเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพูดกระทบ
“อ้อ ไม่ได้โมโหหิว
แล้วเจ้าโมโหเรื่องอะไรล่ะ?”ชีคนาซแกล้งทำไขสือ
“ผมไม่ได้โมโหอะไร แล้วทำไมท่านต้องมาทานอาหารไกลถึงที่นี่ด้วย” นี่คือเรื่องที่ทำให้โมโห ความจริงอยากจะถามว่า ‘ถ่อมาทำไมตั้งไกล’ทั้งๆที่โรงแรมนี้กับบาฮจา กรุ๊ปอยู่คนละมุมเมืองเลย
“ก็อาหารที่นี่อร่อย
แล้วอีกอย่างที่นี่ก็เป็นโรงแรมของข้า
ข้าจะมาทานอาหารโรงแรมของตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง?”ชีคนาซถามอย่างอารมณ์ดี นั่นยิ่งทำให้อีกคนอารมณ์เสียยิ่งขึ้น
‘คนอารมณ์เสีย’มองค้อน อยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘ได้น่ะได้ แต่ทำไมต้องมาทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย’ แต่ต้องยอมอดทนกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นคงจะได้รบกับชีคนาซ
ก่อนได้ออกตามหาปาริฉัตต์แน่ๆ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร
ที่พนักงานต้อนรับเปิดประตูรอ อาทิตยาก็ต้องถอนหายใจยาวพลางคิดในใจ ‘แค่ได้กลิ่นก็อิ่มแล้ว
ถ้าต้องกินทุกจานแค่จานละคำก็คงจะอิ่มไปถึงสามวัน’
“ทำไม? เจ้าไม่ชอบหรือ?”ท่านชีคถามเมื่อเห็นอาการถอดถอนใจของคนตัวเล็กข้างกาย
“เปล่าหรอก..
แต่ท่านไม่คิดว่ามันมากเกินไปรึ?”
อาหารนับสิบชนิดวางเรียงรายเต็มโต๊ะยาวเหยียด
แถมแต่ละจานยังใหญ่เท่าถาดขนาดย่อมๆ
ปริมาณอาหารมากมายขนาดนี้คงพอเลี้ยงคนสิบคนได้สบายๆ
แต่ขณะนี้ทั้งห้องมีเก้าอี้เพียงสองตัว
“กินก่อนสิ
แล้วค่อยบอกว่ามันมากไปหรือเปล่า”ท่านชีคบอกยิ้มๆ
ก่อนเลื่อนเก้าอี้ให้‘คนตัวเล็ก’นั่ง
แล้วตัวเองก็เดินอ้อมไปนั่งลงอีกฟากโต๊ะ
“เชิญ”
เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่ง
ชีคนาซจึงลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าก่อน
คนตัวเล็กถอนหายใจอีกครั้งก่อนรับประทานอาหารบ้างแต่เพียงไม่กี่คำก็รวบช้อน
“อะไรกัน! เจ้าอิ่มแล้วรึ?”ท่านชีคเอ่ยทักทันทีที่ ‘มัน’วางช้อนเพราะคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา
“หรือว่าอาหารไม่อร่อย?”คนถามขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าเรียกพนักงานเสิร์ฟเตรียมเปลี่ยนเมนู
คนอิ่มก่อนรีบบอก “เปล่า ผมอิ่มแล้ว
ผมกินได้แค่นี้แหล่ะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้กินน้อยนัก
เจ้าอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ต้องกินเยอะๆรู้ไหม”ท่านชีคสอนคล้ายมันเป็นเด็กไม่รู้ความ
“ผมโตแล้ว” ‘คนโตแล้วแต่ตัวเล็ก’ขัดขึ้นอย่างหงุดหงิดที่ถูกว่าเป็นเด็ก
“ถ้าอย่างเจ้าเรียกว่าโต
ข้าก็คงเป็นยักษ์แล้วมั้ง”ท่านชีคว่ายิ้มๆ
“ท่านทานอาหารของท่านไปเถอะ
ไม่ต้องมาสนใจการเจริญเติบโตของผมหรอก” ‘คนตัวเล็ก’ตัดบทอย่างหงุดหงิด
“แต่ข้าไม่ชอบให้ใครมานั่งมองเวลาทานอาหาร”ชีคนาซบอกเสียงเข้ม
“ก็ได้..งั้นผมจะกลับห้องพักล่ะ”
‘คนตัวเล็ก’บอกพลางขยับตัวจะลุกตามคำพูดแต่ต้องชะงัก
“ไม่ได้! เจ้ายังไปไหนไม่ได้”
ท่านชีคตวาดสั่งเสียงดังอย่างขัดใจ
เมื่อเห็นมันจะลุกขึ้นจริงๆ คนที่เคยถูกคนรุมล้อมเอาใจอยู่เสมอ
ย่อมต้องทนไม่ได้เมื่ออยู่ๆจะมีใครสักคนทำเมินเฉยหรือผละหนีซึ่งๆหน้า
“เจ้าไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารเลยหรือไง?”ชีคนาซเอ็ดต่อแต่ยอมลดเสียงให้เบาลง
“ก็ท่านบอกเองว่าไม่ชอบให้ใครมานั่งมองเวลาทานอาหาร
ผมก็จะออกจากห้องนี้ไปตามใจท่านแล้วไง” คนที่ไม่ยอมใครเลยเช่นกันเถียง
ใบหน้างอง้ำตาวาววับไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อโดนคนตวาดสั่ง
“ข้าหมายความว่า
ให้เจ้าทานอาหารเป็นเพื่อนข้า”ท่านชีคแสร้งถอนใจ ยอมอ่อนลงเมื่อสบตาวาววับของอีกฝ่ายที่แสดงชัดว่าไม่พอใจตนอยู่ในขณะนี้
ทั้งๆที่ไม่เคยยอมลงให้ใครมาก่อน
“แต่ผมอิ่มแล้ว” คนอิ่มก่อนบอกอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำให้ขัดใจอย่างนี้มาก่อนเลย
“กินแค่สามคำ
เจ้าจะอิ่มได้ยังไง กินซะ อย่าทำตัวเหมือนเด็กเกเร”ท่านชีคดุ
ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กดื้อ ไม่ยอมรับประทานอาหารจนต้องบังคับ
“ท่านต่างหากที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ”
‘เด็กเกเร’ย้อนทันควัน ไม่ยอมแพ้
“เจ้าว่าข้าเป็นเด็กเอาแต่ใจงั้นรึ?”ชีคนาซ อซีซาถลึงตาใส่ไอ้ตัวร้ายที่นั่งทำตาวาวอยู่คนละฝากโต๊ะ
“ก็มันจริงไหมล่ะ
ผมบอกว่า..อิ่ม อิ่ม อิ่ม ท่านยังจะบังคับให้กินอีก อยากให้ผมท้องแตกตายหรือไง”คนอิ่มแล้วต่อว่าเสียงดังอย่างหงุดหงิด
ชีคนาซมองอาการของมันที่เหมือนเด็กกำลังงอแงเพราะถูกขัดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนโบกมือตัดบท
“เอาล่ะๆ เจ้าไม่กินก็ได้
แต่ต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ท่านชีคสั่งก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าต่อ
โดยไม่สนใจอาการฮึดฮัดของ‘มัน’ที่นั่งทำปากขมุบขมิบอยู่ตรงหน้า
“เจ้าว่าอะไรข้า?”ท่านชีคเงยหน้าขึ้นจ้อง ‘มัน’เขม็ง
“ผมสวดมนต์หลังอาหารต่างหาก”
อีกฝ่ายปดหน้าตาเฉย
“อย่าให้ข้ารู้นะว่าเจ้าแอบว่าข้า
ไม่งั้นเจ้าเจอดีแน่”ท่านชีคคาดโทษ ‘มัน’มองค้อนแต่ยอมสงบปากสงบคำ
“ท่านจะทานอาหารไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าเลยหรือไง?”
อาทิตยาแหวขึ้นอย่างเหลืออด หลังจากที่ต้องทนนั่งมอง
ชีคนาซละเลียดอาหารมานานกว่าสองชั่วโมงและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เพราะยังเรียกบริกรมารับออเดอร์อยู่เรื่อยๆ
ราวกับจะชิมอาหารทุกอย่างที่มีอยู่ในใบเมนู
“เจ้าจะรีบร้อนไปไหน?”
ท่านชีคถามอย่างใจเย็น
ความจริงเขาไม่เคยรับประทานอาหารนานขนาดนี้หรอก แต่วันนี้เขาแค่อยากจะแกล้งคนที่นั่งหน้างอเป็นม้าหมากรุกอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างหาก
ยิ่งเห็นมันหงุดหงิดยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างประหลาด
“แต่นี่มันสองชั่วโมงกว่าแล้วนะ?”
‘คนหน้างอ’บอกอย่างหงุดหงิด ต้องมานั่งดูคนอื่นกินอาหารแล้วยังขยับตัวไปไหนไม่ได้นี่มันยิ่งกว่านักโทษอีก
“อีกตั้งนานกว่าจะค่ำ”ท่านชีคบอกอย่างไม่ทุกข์ร้อน เมื่อเหลือบดูนาฬิกาแขวนบนฝาผนัง
‘คนตัวเล็ก’ตาเหลือก “อย่าบอกนะว่าท่านจะทานอาหารไปจนกระทั่งถึงค่ำ?”
“อืม...”
ท่าครุ่นคิดของชีคนาซกวนต่อมโทสะของคนมองยิ่งนัก
“ผมไม่ว่างขนาดนั้นหรอกนะ
ผมมาทำงาน ไม่ใช่มากิน”
‘คนมาทำงาน’แผดเสียงดังสะท้านสะเทือนห้อง ดวงตาเป็นประกายวาววับราวกับจะแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้เป็นจุล
“เจ้าต้องทำอะไรหนักหนา?”ท่านชีคเลิกคิ้วถามยิ้มๆอย่างสบายใจ
“ทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่กิน
กิน กิน อย่างนี้”
อาทิตยาบอกอย่างหงุดหงิด เพราะความที่เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว
ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่
ทำให้รู้สึกอึดอัดขัดเคืองยิ่งนักเมื่อมาเจอคนที่ทำอะไรอืดอาดเฉื่อยชาแบบนี้
“เจ้าเคยดูแข่งอูฐไหม?”ชีคนาซเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ
“แข่งอูฐ?”อาทิตยาถามกลับ ไม่เข้าใจว่าแข่งอูฐมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ทะเลาะกันอยู่ในขณะนี้
“ผมไม่ได้มาเที่ยว” รีบบอกไว้ก่อนเมื่อสังหรณ์ใจว่าจะถูกชีคเอาแต่ใจคนนี้ลากไปโน่นมานี่ตามอำเภอใจ
“แค่ไปดูแป๊บเดียวไม่เสียเวลามากหรอกน่า”ท่านชีคบอกยิ้มๆเมื่อคิดหาที่เที่ยวที่ใหม่ได้
“เจ้ารู้ไหมว่าจ๊อกกี้ของข้าทันสมัยที่สุดในคาบสมุทรอาหรับเลยนะ”ท่านชีคคุยอวดอย่างภูมิใจ
“ทันสมัย? จ๊อกกี๊เนี่ยนะ?” คนถามตาโตอย่างกังขา ‘พูดถึงคนหรือหุ่นยนต์กันแน่’
“ใช่ ไปดูกันเถอะ”
ชีคนาซรวบช้อนแล้วลุกขึ้นยืนทันที
ก่อนจะก้าวออกจากห้องอาหารพร้อมกับลาก‘คนตัวเล็ก’ให้ปลิวตาม
“เดี๋ยว! ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไปกับท่าน” คนถูกลากทักท้วง
พยายามขืนตัวเอาไว้แต่ก็แพ้แรงคนตัวโตกว่าอยู่ดี
“เจ้าจะอุดอู้อยู่แต่โรงแรมนี้ทำไม
ไปดูแข่งอูฐดีกว่า สนุกนะ”คนชวนพยายามหว่านล้อมและยังลาก‘คนตัวเล็ก’ให้เดินตาม
“แต่ผมต้องทำรายงาน” ‘คนตัวเล็ก’บอกพลางพยายามแกะมือหนาที่แข็งแรงราวกับคีมคีบออกจากข้อมือตัวเอง
แต่ก็ไร้ผล
ชีคนาซชะงักเท้า “เจ้าจะทำรายงานได้อย่างไร
ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ไปดูเครื่องเจาะน้ำมันเลย ”ชีคนาซถามอย่างกังขา
แต่มือยังคงจับจูงไม่วางราวกับกลัวว่า‘มัน’จะหลบลี้หนีหายไปต่อหน้า
“ผมไม่ได้มีงานแค่อย่างเดียวนะ”คนถูกลากแย้ง
“งั้น ถ้าเจ้าไปกับข้า
ข้าอาจจะพิจารณาเรื่องเครื่องเจาะน้ำมันใหม่”ชีคนาซเริ่มติดสินบน
คนถูกติดสินบนชะงัก
ไม่ได้ต้องการเครื่องเจาะสำรวจน้ำมัน แต่ต้องการเวลา เพราะการตามหาคนจะต้องใช้เวลานานพอสมควร
ถ้าชีคนาซจะพิจารณาเรื่องเครื่องเจาะใหม่อาจจะมีเวลาเพิ่ม
ไม่ใช่แค่ไปดูแล้วถูกไล่กลับ
“ท่านพูดจริงใช่ไหม?”คนถามตวัดสายตามองอย่างคาดคั้น
“ข้าพูดจริงเสมอ”ชีคนาซตอบ แต่แอบยิ้มใจใน ‘แค่จะพิจารณาใหม่
ไม่ได้หมายความว่า ตอบตกลงสักหน่อย’
“งั้นผมขอบอกคนของผมก่อน”คนถูกลากต่อรอง
“ได้”ชีคนาซอนุญาต
“ท่านก็ปล่อยมือผมก่อนสิ” คนถูกลากให้เดินตามบอก ไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายยังจับแขนตนไว้มั่น
ราวกับว่าจะลากไปไหนต่อไหนตามใจตนเช่นนี้ตลอดไป
ชีคนาซยอมปล่อยมือแต่ยังยืนคุมอยู่ไม่ห่าง คนถูกปล่อยตัวชั่วคราวหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ก่อนจะกดโทรศัพท์หามือซ้ายของตน
“ไผท ประชุมเสร็จหรือยัง?”ถามด้วยภาษาไทย เพื่อไม่ให้คนที่ยืนตะแคงหูรอฟังเข้าใจ
“ครับ”ปลายสายตอบรับ
“มาหาเราที่ลอบบี้หน่อย
...ตอนนี้เลยนะ”สั่งเสร็จก็กดวางสาย ก่อนจะเขยิบถอยห่างคนที่ขยับมายืนชิด
“ภาษาของเจ้าเพราะดีนะ
เจ้าพูดว่าอะไรน่ะ?”ท่านชีคหลอกถาม
“ก็แค่บอกให้คนของผมมาเจอที่ลอบบี้
ก็แค่นั้น” คนถูกถามนิ่วหน้าใส่คนช่างซัก
ไม่ถึงหนึ่งนาที
ไผทก็เดินออกจากลิฟท์ตรงมายังคนทั้งคู่
“จะไปไหนกันหรือครับ?”เขาถามอย่างแปลกใจ เมื่อรู้สึกว่าเจ้านายตนยังไม่กลับห้องพักในตอนนี้
“ไปดูแข่งอูฐ”ท่านชีคตอบพร้อมกับเดินนำ แต่ก็ยังรั้งรอร่างเล็กให้เดินเคียงข้าง
นาซีม หัวหน้าบอดีการ์ดของชีคนาซ อซีซา
บาฮจา
ที่ยืนรออยู่หน้าโรงแรมมองแขกพิเศษสองคนที่เดินมากับเจ้านายของตนอย่างพิจารณา
เขาเองรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับคำสั่งด่วนให้เพิ่มกำลังคนเพราะมีแขกจะร่วมเดินทางไปเมืองดาเรนในวันพรุ่งนี้
ทั้งๆที่ไม่เคยมีแขกคนไหนเคยร่วมเดินทางไปกับท่านชีคเลย ‘แล้วนี่ท่านจะพาแขกของท่านไปไหนอีก?’
“ไปสนามแข่งอูฐบาลา”ชีคนาซ อซีซาสั่ง นาซีมโค้งคำนับก่อนรีบเดินไปเปิดประตูรถให้
แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อท่านชีคผายมือเชิญ ‘คนตัวเล็ก’ให้ขึ้นรถ ก่อนท่านจะเดินอ้อมไปขึ้นอีกด้าน
ส่วนผู้ชายอีกคนก้าวขึ้นนั่งหน้าคู่คนขับ
นาซีม ขึ้นรถอีกคันขับตามไป เพิ่งรู้ว่า‘คนตัวเล็ก’คือแขกคนสำคัญของเจ้านายตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น