ตอนที่4 อาหรับราตรี
ทันทีที่รถของชีคนาซ อซีซา ลับสายตา
คนที่ทำท่าสัปหงกอยู่บนรถมาตลอดทางตั้งแต่สนามแข่งอูฐจนมาถึงโรงแรม
ก็กระปี้กระเป่าขึ้นทันที ไม่เหลือเค้าของคนง่วงนอนอยู่เลย
‘ถ้าไม่แกล้งทำเป็นง่วงนอน
ชีคบ้าอำนาจนั่นคงตามประกบแจถึงเย็นแน่’อาทิตยาถอนใจ เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ต้องอดทนเวลามีคนขัดใจ
‘เพื่องานสำคัญ’ เธอท่องประโยคเดิมซ้ำๆ
เพราะรู้ดีว่าคงต้องทนกับชีคเอาแต่ใจคนนี้ไปอีกหลายวัน
“เรียกประชุมด่วน
ติดต่อกันต์ด้วย”
เสียงใสสั่งการ ไผทคำนับ
ก่อนเรียกลูกทีมเข้าร่วมประชุมอย่างรวดเร็ว
‘ชีคอัลลามยังอยู่ที่เมืองดาเรน’
หน่วยข่าวถึงเมืองดาเรนแล้ว แต่คฤหาสน์ของชีคอัลลามมีระบบรักษาความปลอดดีเยี่ยมไม่สามารถเข้าไปสำรวจภายในได้
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
‘ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปช่วยปาริฉัตต์ออกมาได้โดยเร็วที่สุด’
“เมื่อไหร่ที่หน่วยจู่โจมแต่ละหน่วยจะไปถึงเมืองดาเรน?”
อาทิตยาถามกลับไปยังฐานหลักที่ติดตามความเคลื่อนไหวของแต่ละหน่วยด้วยดาวเทียม
“คาดว่าพรุ่งนี้ช่วงค่ำน่าจะไปรวมตัวกันครบครับ”กันต์รายงาน
เพราะเงินที่เขาจ่ายไปก้อนใหญ่นั้นสามารถทำให้คนของทีเคกรุ๊ปเดินทางได้เร็วกว่าที่คาดไว้
“แล้วอาวุธล่ะ?”ไผทถาม
“พร้อมครับ
แต่แยกไปกับหน่วยต่างๆ ไปรวมกันเมื่อไหร่ก็ประกอบกันพร้อมใช้งานได้เลย”กันต์ตอบ
อาวุธที่ทันสมัยที่สุดที่ถูกคิดค้นโดยอัจฉริยะของทีเคกรุ๊ปนั้น
เมื่อแยกกันมันจะเป็นแค่เสาเต็นท์หรือไม่ก็อุปกรณ์พกพาอื่นๆ
ซึ่งทำให้เครื่องตรวจอาวุธไม่มีทางตรวจจับหาได้ แต่ถ้าพวกมันรวมกันเมื่อไร
มันจะกลายเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงทันที
“ส่งข้อมูลทั้งหมดได้มาให้หน่อย”อาทิตยาสั่ง
กันต์ส่งไฟล์ข้อมูลผ่านอีเมล์
แต่ต้องใช้ลายนิ้วมือของอาทิตยาหรือไผทสแกนเท่านั้นถึงจะเปิดไฟล์นั้นได้
และถึงแม้คนอื่นๆจะเปิดได้ก็ไม่สามารถเข้าใจ เพราะภาษาที่ใช้เป็นโค๊ดรหัสทั้งหมด
และคนที่อ่านได้ก็จะมีเฉพาะคนของทีเคกรุ๊ปแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
อาทิตยากับไผทอ่านข้อมูลที่เปิดดูจากนั้นก็ช่วยกันวิเคราะห์
ข้อมูลและวางแผนเพื่อหาทางเข้าใกล้คฤหาสน์ของชีคอัลลามให้มากที่สุด
การประชุมเคร่งเครียดดำเนินไปกว่าสามชั่วโมง
“เจ้านายครับ
จะถึงเวลานัดแล้วนะครับ” ไผทเตือนเบาๆ
ร่างบางดูนาฬิกาข้อมือ
ก่อนจะถอนใจอย่างหงุดหงิด “เอาล่ะ
ยกเลิกการติดต่อ”
และเมื่อหน้าจอโน๊ตบุ๊คดับลง
อาทิตยาก็หันไปสั่งบอดีการ์ดรวมทั้งจินนี่
“แยกย้ายกันไปทานอาหาร แล้วพักผ่อน
เตรียมตัวออกเดินทางพรุ่งนี้”
“ไผทไปข้างนอกด้วยกันนะ”ร่างบางบอก ‘มือซ้าย’ที่เดินรั้งท้าย
“ครับ”ชายหนุ่มคำนับรับคำก่อนจะก้าวออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย
อาทิตยาเดินไปล็อคประตูห้องก่อนอาบน้ำเปลี่ยนชุด
พลางนิ่วหน้าครุ่นคิด ‘ทำไมชีคนาซ
ถึงได้เกาะติดหนึบขนาดนี้นะ หวังว่าเขาคงไม่ได้ระแวงอะไรเราหรอกนะ’
***************
ชีคนาซ อซีซา บาฮจา
มาถึงโรงแรมบาฮจาลีก่อนเวลานัดเล็กน้อย เขาจึงนั่งรอแขกคนสำคัญอยู่ที่ลอบบี้โรงแรม
ไม่นานลิฟท์หน้าลอบบี้ก็เปิดออก ร่างระหงก้าวออกมาพร้อมกับบอดีการ์ดร่างใหญ่
ชีคนาซ มอง ‘คนตัวเล็ก’ที่เดินตรงมาอย่างสง่าพลางครุ่นคิด
‘ไอ้ตัวเล็กนี่มันมีชุดแบบเดียวนี้แบบเดียว
หรือว่ามันกลัวว่าคนจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจ จึงต้องใส่สูทอยู่ตลอดเวลา’
ร่างบางชะงักเท้าคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นอาการอมยิ้มของคนที่ยืนรอ
“ท่านขำอะไร?”เสียงใสถามอย่างไม่พอใจ
“เปล่า
ข้าแค่สงสัยว่าเจ้ายังไม่อาบน้ำหรือไม่ยอมเปลี่ยนชุดกันแน่?”คนตอบกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น
เมื่อเห็นอาการกระฟัดกระเฟียดของคนตัวเล็ก
“ท่านก็ใส่ชุดเหมือนเดิม
งั้นก็ไม่ได้อาบน้ำไม่ได้เปลี่ยนชุดเหมือนกันนะสิ”คนถูกว่าไม่อาบน้ำย้อนอย่างไม่ยอมแพ้
ท่านชีคก้มลงมองชุดตัวเอง ‘เออ แหะ
มันเหมือนชุดเดิมจริงๆนั่นแหละ’ชุดอาหรับชุดไหนก็ดูคล้ายกันหมด
“อืม..คงงั้นมั้ง ดีเหมือนกัน
คนไม่อาบน้ำสองคนไปด้วยกัน คนอื่นจะได้ไม่กล้าเข้าใกล้”ท่านชีคหัวเราะเบาๆไม่ทุกข์ร้อน
“ผมอาบน้ำแล้ว
ไม่สกปรกเหมือน..” คนตอบกัดลิ้นไว้ทัน
“เหมือนข้างั้นสิ”ท่านชีคต่อให้ยิ้มๆ
“ผมไม่ได้พูด”คนไม่ได้พูดแต่คิด ปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่ตาเจ้ามันบอกอย่างนั้น”ท่านชีคว่า
“ท่านอย่ามาหาความผมนักได้ไหม
ตกลงท่านนัดผมมาทานอาหารหรือมาทะเลาะกันแน่?” ‘แขก’เริ่มหมดความอดทน
“อย่าเพิ่งโมโหหิวน่า
ข้าจะพาเจ้าไปกินเดี๋ยวนี้แหละ”
ท่านชีคว่ายิ้มๆก่อนจะหมุนตัวเดินนำ คนเดินตามมองค้อนก่อนก้าวเดินเคียงข้างคนที่ชะลอเท้ารั้งรอ
รถสปอร์ตเปิดประทุนสุดหรูจอดรออยู่หน้าโรงแรม
บอดีการ์ดสองนายเปิดประตูรอ ‘คนตัวเล็ก’ก้าวขึ้นนั่งเคียงข้าง ‘คนตัวโต’ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ
ส่วนไผทก้าวขึ้นรถอีกคัน
รถคันเล็กวิ่งฉิวทันทีที่ชีคนาซแตะพวงมาลัย อาทิตยารีบเอามือจับผมตัวเอง
เพราะกลัวว่าผมปลอมจะปลิวหลุดลอยไปตามลม ถึงแม้เจ้าของผลงาน ‘วิกพิเศษ’นำจะรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามันไม่หลุดแน่แม้จะโดนถลกหนังหัวก็ตาม ต้องใช้นำยาชนิดพิเศษราดเท่านั้นจึงจะถอดออกได้
แต่คนใส่ยังไม่ไว้ใจส่วนเกินของร่างกายอยู่ดี
ชีคนาซ
ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นอาการของคนนั่งข้างๆ
“เจ้าทำอะไร?..ท่าทางแปลกประหลาดพิกล”คนถามหัวเราะขบขันกับท่าทางของมัน
คนถูกถามมองค้อน ก่อนจะกล่าวโทษ “ก็ท่านขับรถราวกับเหาะ ทำให้ผมผมเสียทรงหมด
หน้าก็ชาไปหมดแล้ว” ว่าพลางเอามือถูหน้าไปมาเพื่อกลบเกลื่อนจนแก้มใสแดงระเรื่องขึ้นมา
ชีคนาซ อซีซา มองหน้าใสที่แต้มสีแดงรับกับริมฝีปากสีชมพูช่ำน้ำนั้นพลันน้ำลายในปากเขาก็แห้งผากเลือดลมในกายก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่สามารถระงับได้
‘บ้าเอ๊ย! มันเป็นผู้ชายนะ ผู้ชาย!’
เขาพร่ำบอกตัวเอง แต่หัวใจเขากลับเต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
ชีคนาซยกประทุนปิด
หันกลับไปตั้งใจขับรถโดยพยายามไม่มองคนที่นั่งข้างๆ เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองสำรวจตนอย่างพินิจพิจารณาพลางวางแผนรับมือเอาไว้ในใจ
เมืองดูรฮาลยามค่ำคืนสวยงามด้วยแสงไฟเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆทั่วโลก
รถราวิ่งกันขวักไขว่แต่ก็ไม่ได้ติดขัดเมืองเมืองไทย
เพียงไม่นานนักขบวนรถของชีคนาซก็แล่นมาถึงถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำวารดา แม่น้ำสายหลักของดรูไรดาราน
แสงไฟของบ้านเรือนริมสองฝั่งแม่น้ำเป็นประกายระยิบระยับ
ราวจะแข่งกับแสงดาวบนท้องฟ้า
อาทิตยามองบรรยากาศรอบตัวอย่างผ่อนคลาย
ดูไปบรรยากาศก็คล้ายๆกับริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของไทย
เพียงแต่แม่น้ำเจ้าพระยาจะกว้างกว่ามาก และมีบ้านเรือนริมน้ำหนาแน่นกว่าที่นี่
“เป็นไง เจ้าชอบที่นี่ไหม?”
เสียงถามอ่อนโยนดังกังวานข้างหู
รถก็ชะลอความเร็วลง ราวกับต้องการให้แขกได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้เต็มที่
‘แขก’หันมามองหน้าคนถามอย่างแปลกใจ
‘มัจจุราชแห่งดรูไรดาราน ฆ่าคนได้ง่ายดายราวกระพริบตา’ข่าวที่ได้รับมาจริงหรือเท็จ...หรือว่าตอนนี้ต่างหากที่เป็นเท็จ
“ก็สวยดี
แล้วท่านจะพาผมไปทานอาหารที่ไหน?”คนที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัวนักถามถึงจุดประสงค์หลักทันทีตามประสาคนใจร้อน
“เจ้าหิวแล้วหรือ?”เสียงถามกลั้วหัวเราะ
“เปล่า
แต่มาตั้งไกลแล้วยังไม่ถึงสักที ก็เลยถามดู”
“ใจเย็นๆสิ อยู่ข้างหน้านี่แหละ”ท่านชีคบอก ก่อนจะเลี้ยวรถไปจอดหน้าอาคารหรูหราแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามด้วยไฟประดับระยิบระยับ
บอดีการ์ดสองนายรีบกุลีกุจอเปิดประตูรถให้ ‘แขก’มองร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์อาหรับอย่างสนใจ
“เจ้าเคยทานอาหารอาหรับไหม?”ท่านชีคถามเสียงอ่อนโยน
คนถูกถามส่ายหน้า “ไม่เคย”
“ลองดูก่อน
ร้านนี้เป็นร้านอาหารอาหรับที่อร่อยที่สุดในเมืองดูรฮาลเลยนะ แต่ถ้าไม่ถูกปาก
เราค่อยไปร้านอื่นกัน”ท่านชีคกล่าวราวกับเป็นไกด์รายการเที่ยวไปกินไป
‘นักชิมจำเป็น’ถอนหายใจ “ไม่เป็นไร อะไรผมทานก็ได้”
เพราะปกติก็ไม่เคยยุ่งยากเรื่องกินอยู่แล้ว
บางที่ยังเคยกินบะหมี่สำเร็จรูปด้วยซ้ำ แต่ต้องเป็นตอนที่กันต์ไม่อยู่ด้วยนะ
เพราะรายนั้นทุกอย่างจะต้อง‘ดีที่สุด’
อาหารทุกอย่างต้องถูกคำนวณมาแล้วอย่างดีว่ามีสารอาหารครบทุกหมู่ตามหลักโภชนาการไหม
แคลลอรี่เท่าไร และต้องกินเข้าไปเท่าไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด จนคนที่จะต้องกินแทบไม่อยากจะแตะอาหารนั้น
แต่ก็ต้องจำใจกินเข้าไป ไม่อย่างนั้นจะโดนคนที่จัดทุกอย่าง‘ดีที่สุด’ให้บ่นงำงึมไปไม่เลิก
“ใช่ เจ้ากินอะไรก็ได้
แต่แค่สามคำ”ท่านชีคดักคอ
‘คนกินแค่สามคำ’มองค้อน “ก็ผมอิ่ม ผมก็กินแค่นั้นนะสิ”
“กระเพาะเจ้าคงเล็กเท่ากำปั้นเจ้าล่ะมั้ง”ชีคนาซว่า พลางมองมือ‘มัน’
มือเล็กๆที่โผล่พ้นสูทออกมานั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับมือของเขา
“ท่านมองมือผมทำไม?” ‘คนตัวเล็ก’ถามอย่างระแวงพลางเอามือไขว่หลัง
“เปล่า
ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมมือเจ้าถึงได้เล็กนัก”
“ก็..ก็ผมยังไม่โต” คนตอบอึกอักนึกหาคำแก้ตัวไม่ทัน
“ก็ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าโตแล้วไง?”ท่านชีคแย้งยิ้มๆ
“ใช่
สมองผมนะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ร่างกายยังโตไม่เต็มที่”คนที่โตแล้วแต่ตัวเล็กว่า
ท่านชีคหัวเราะเบาๆในความกะล่อนของมัน “เจ้านี่ ช่างกะล่อนจริงๆ”ว่าแล้วก็ก้าวเดินนำ
สาวใหญ่เจ้าของร้านอาหารนำพนักงานออกมายืนรอต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเป็นแถว
เธอแย้มยิ้มให้ท่านชีคอย่างอ่อนหวานและเชื้อเชิญแขกคนสำคัญของหล่อนเข้าสู่ห้องรับรองพิเศษด้านใน
ห้องพิเศษถูกตกแต่งด้วยพรมทอมือลวดลายงดงามตามแบบฉบับของชาวอาหรับ
สีสันฉูดฉาดบาดตายิ่ง ในห้องมีเบาะรองนั่งอยู่หลายใบ ด้านหน้าเป็นโต๊ะเตี้ยๆคล้ายโต๊ะญี่ปุ่นแต่ใหญ่กว่าสำหรับวางจนอาหาร
ชีคนาซ
อซีซาทิ้งตัวลงบนเบาะหนานุ่มตัวใหญ่อย่างสบายใจ อาทิตยาเดินเลยจะไปนั่งยังเบาะถัดไปแต่ถูกชีคนาซคว้าข้อมือฉุดให้นั่งลงบนเบาะใบเดียวกัน
เธอขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะเบาะนั้นนุ่มเกินไป เมื่อคนตัวโตทิ้งน้ำหนักลงด้านหนึ่งของเบาะ
ด้านที่คนตัวเล็กกว่านั่งอยู่จึงเอียงลาดลง ทำให้เธอไหลลงนั่งเบียดกับเขาอย่างจำใจ
แม้มันพยายามขยับตัวหนี แต่ก็ไหลลื่นกลับมาเหมือนเดิมทุกที
ชีคนาซ อซีซา
เหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังมีปัญหากับเบาะนั่งอย่างขันๆ ปกติเขาก็ไม่เคยนั่งเบาะเดียวกับใคร
แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาจึงอยากนั่งร่วมเบาะกับ‘มัน’นัก
ยิ่งเวลามันไหลลื่นมานั่งเบียดชิดแบบนี้เขาก็ยิ่งพอใจ
“ผมไปนั่งเบาะอื่นได้ไหม?
ผมนั่งไม่สบายเลย” ‘แขก’อุทรหลังจากที่พยายามถอยห่างร่างสูงหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ
“ไม่ได้! เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนของข้ายังไม่ได้นั่งเลย”
ท่านชีคปฏิเสธ
ก่อนจะพูดเบาๆเป็นภาษาอาหรับกับบอดีการ์ดที่ยืนอารักขาอยู่รอบๆ บอดีการ์ดทั้งหมดรีบหาที่นั่งทันที
เบาะที่วางเรียงรายมีคนจับจองหมดในพริบตา
‘แขก’ตาโต
กล่าวหาเสียงดัง “ท่านแกล้งผม!”
“ข้าแกล้งเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าไม่ได้บอกนี่นาว่าเจ้ามีคนมาเพิ่ม เค้าก็จัดที่นั่งให้เท่ากับจำนวนแขกพอดี ยังดีนะที่เบาะของข้าใหญ่ เจ้าถึงได้มีที่นั่ง”
“ข้าแกล้งเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าไม่ได้บอกนี่นาว่าเจ้ามีคนมาเพิ่ม เค้าก็จัดที่นั่งให้เท่ากับจำนวนแขกพอดี ยังดีนะที่เบาะของข้าใหญ่ เจ้าถึงได้มีที่นั่ง”
ท่านชีคบอกราวกับว่า ... ที่ต้องมานั่ง ‘เบียด’กันแบบนี้เพราะความผิดของเธอเองที่พาไผทมาด้วยโดยไม่ได้บอกเขาก่อน
‘คนผิด’ตาวาวอย่างโกรธจัดอยากจะเล่นงานชีคบ้าอำนาจคนนี้สักครั้ง
แต่เพราะเห็นว่ายังต้องใช้ประโยชน์จากเขา จึงจำต้องอดทนไว้ก่อน. ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ฮึ่ม’
พนักงานในร้านเริ่มทยอยยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่องจนเต็มโต๊ะ
“เอาน่า..เลิกงอแงได้แล้ว
คราวหลังข้าจะให้เขาจัดที่ไว้เยอะๆ ให้เจ้าเลือกนั่งได้อย่างสบายใจเลย”ชีคนาซพยายามลอมชอมคนนั่งตาวาวอยู่ข้างๆ
“อาหารมาแล้ว
เจ้าลองดูหน่อยนะว่าจะถูกปากเจ้าไหม?”เจ้าถิ่นเปลี่ยนเรื่องเสียงอ่อนโยนเอาใจ
“นี่พิต้า” “เอาไว้ทำเป็นแซนด์วิชแทนขนมปัง หรือไม่ก็ทาฮัมมุส คล้ายๆกับขนมปังทาเนย
แต่ฮัมมุสทำจากถั่วเขียวบด”
ชีคนาซอธิบายพร้อมทั้งจัดการทาฮัมมุลลงบนพิต้าและวางลงบนจานตรงหน้าของคนที่หน้างอไม่เลิกอย่างเอาใจ
คนหน้างอจึงมองค้อน ก่อนถอนหายใจอย่างข่มอารมณ์
เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่ถิ่นตนเองจะอาละวาดก็เกรงจะกระทบเรื่องสำคัญ
“แล้วก็นี่ ...แกะชาวาร์มา อาหารขึ้นชื่อของที่นี่เลยนะ ลองดูหน่อย”ชีคนาซตัดแบ่งเนื้อชิ้นเล็กพอดีคำวางในจาน พลางคะยั้นคะยอ ‘แขกบังคับเชิญ’ให้ลองชิม
“
เขาจะหมักเนื้อกับเครื่องเทศ เช่น กระวาน
ยี่หร่า แล้วก็โยเกิร์ต แล้วนำไปย่างโดยเตาพิเศษ
เวลาย่างจะเสียบไม้แนวตั้งที่จะหมุนไปเรื่อยๆ เนื้อจะถูกเฉือนจากด้านนอกเข้ามาด้านในขณะที่แท่งเสียบนั้นยังหมุนอยู่
เพื่อให้เนื้อที่อยู่ด้วยในสุกเสมอกัน
บางทีก็เขาก็เฉือนเนื้อไปประกบด้วยพิตต้าทำเป็นแซนด์วิช” ไกด์ไม่ได้รับเชิญอธิบายอย่างละเอียดราวกับเชฟมือหนึ่ง
“แล้วนี่เรียก ฟาลาเฟล ทำจากชิคพี หอม และเครื่องเทศ บดรวมกัน ปั้นเป็นก้อนกลม
นำไปทอด รับประทานเลยก็ได้หรือว่าเอาไปทำเป็นแซนด์วิชก็อร่อย”
แล้วไกด์กิตติมศักดิ์ก็ผันตัวเองมาเป็นครูสอนวิธีรับประทานอาหารอาหรับ
และยังพยายามบังคับแขกที่ไม่เต็มใจรับเชิญให้ลองรับประทานอาหารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ
รสชาติของอาหารอาหรับนั้นค่อนข้างเผ็ดร้อน
แต่ไม่ใช่เผ็ดร้อนแบบอาหารไทยหรืออาหารอินเดียน เพราะเครื่องเทศที่มีรสชาติและกลิ่นอายที่เฉพาะตัว
เช่นหญ้าฝรั่น พริกไทย คูมิน อบเชย ลูกจันทน์เทศ ผักชี มินต์ มัสตาร์ด นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีรสชาติของชีสและโยเกิร์ตผสมอยู่ในอาหารหลายเมนู
อาหารจำพวกเนื้อก็จะทำจากเนื้อวัว แกะ แพะ ไก่ ปลา เป็นหลัก
ส่วนหมูนั้นไม่นิยมนักเพราะว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
“นี่สลัดทาบูเละห์ เป็นสลัดของชาวเลบานอน ไม่อ้วนหรอก
มันทำมาจากข้าวสาลีบด ผักชี แตงกวา มะเขือเทศ ใบมินต์ หอม น้ำมันมะกอก น้ำมะนาว
เกลือ และพริกไทย เหมาะสำหรับคนไดเอ็ดเลยล่ะ”ไกด์อธิบายพลางสัพยอกยิ้มๆ
“ผมไม่ได้ไดเอ็ด”คนถูกกล่าวหาว่าไดเอ็ดแหวเสียงเขียว
ชีคนาซหัวเราะชอบใจ “ก็นึกว่ากำลังไดเอ็ด
เห็นเจ้ากินยังกะแมวดม”
‘คนกินยังกะแมวดม’มองค้อนอีกครั้ง แต่ไม่ต่อปากต่อคำ..ตั้งแต่เจอกับชีคนาซ เธอเถียงกับเขามากกว่าเถียงกับกันต์ที่อยู่ด้วยกันมาเกือบยี่สิบปีได้กระมัง..เพราะถึงกันต์จะชอบขัด
แต่เขาก็มีเหตุผล ไม่เหมือนคนที่กำลังกวนอารมณ์อยู่ในขณะนี้ ที่ชอบทำอะไรตามใจตน
แถมยังหาข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายเสียอีก
และมันน่าเจ็บใจตรงที่เธอทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้นี่สิ
“ถ้าไม่ไดเอ็ดก็ลองนี่หน่อย”
‘นี่’มองแวบแรกเหมือนกับข้าวต้มมัดของไทยเรา
ความจริงแล้วเป็นใบองุ่นห่อข้าวปรุงกับหอมแดง มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก น้ำมะนาว ดิล น้ำสต๊อก
เกลือ และพริกไทย รสชาติเปรี้ยวๆ มันๆ
“เรียกว่า..ดอลมาเดส ”
อีกถ้วยคล้ายๆ ‘เต้าเจี้ยวหลน’ แต่..ไกด์เรียกว่า “บาบากานูจ ” พร้อมทั้งบรรยายวิธีทำอย่างคล่องแคล่ว
“เอามะเขือม่วงย่างแล้วปอกเปลือกก่อนนำไปบด
ผสมกับกระเทียมซอย และเทฮินา เทฮินาทำจากงาบดจนข้นผสมน้ำมะนาว
น้ำมันมะกอก โยเกิร์ต เกลือและพริกไทย บาบากานูจรับประทานกับขนมปังพิต้าอร่อยมาก”
คนที่ต้องลองทุกอย่างส่ายหน้าพลางโบกมือ..เป็นสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว...ไกด์จึงหัวเราะชอบใจ
แต่ก็ยอมหยุดมือโดยดี
เวลาอาหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อชีคนาซไม่ได้อ้อยอิ่งเหมือนมื้อกลางวัน
นักดนตรีบนเวทียกพื้นที่บรรเลงเพลงเบาๆระหว่างมื้ออาหาร
เปลี่ยนจังหวะดนตรีเป็นเร่งเร้าร้อนแรงยิ่งขึ้นทันทีที่ท่านชีครวบช้อน
หญิงสาวรูปร่างอรชรก็เคลื่อนกายออกจากหลังม่านออกมาเต้นระบำหน้าท้องด้วยลีลาอันร้อนแรง
คนเป็นแขกตาโตก่อนจะมองเมินไปอีกทาง
ไม่ใช่ไม่เคยเห็น เพียงแต่เคยเห็นอยู่ไกลๆ
ไม่ใช่มาเต้นร่อนอยู่แทบชิดปลายจมูกอย่างนี้ อีกอย่างตัวเธอเองก็เป็นผู้หญิง ต้องมานั่งมองผู้หญิงด้วยกันนุ่งน้อยห่มน้อยเต้นยั่วผู้ชายทั้งฝูงแบบนี้
จะให้รู้สึกเฉยๆก็เกินไปล่ะ คิดแล้วก็เริ่มโกรธคนต้นคิดที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ ‘เพลย์บอยจริงๆ’
ชีคนาซ มองอาการของคนข้างตัวอย่างขันๆ ‘มันยังเด็กนัก
คงยังไม่เคยผ่านเรื่องรักๆใคร่ๆมาแน่ ถึงได้มีอาการขัดเขินอย่างนี้’ท่านชีคนึกอย่างเอ็นดู
“เจ้าสนใจใครไหม? ข้าจะจัดให้นางไปรับใช้เจ้าในคืนนี้”ท่านชีคแกล้งถามยิ้มๆ
คนถูกถามค้อนควับทันควัน ปฏิเสธพร้อมทั้งประชดกลับ“ไม่ล่ะ ผมมาทำงาน และไม่ใช่เพลย์บอยที่จะขาดผู้หญิงไม่ได้”
ท่านชีคหัวเราะขันกับคำประชดนั้น
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่โกรธมันเลย ไม่ว่ามันจะประชดประชันยังไง
เขาก็รู้สึกเพียงแค่ขันเท่านั้น
อาทิตยาขยับตัวอย่างอึดอัด
ยิ่งเวลาผ่านไปดนตรียิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางระบำก็ขยับเข้ามาเต้นใกล้ๆแขก
ส่ายสะโพกยั่วยวนแทบติดปลายจมูก กลิ่นน้ำหอมฉุนๆของพวกนางรำทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
เพราะกลิ่นหอมหลายกลิ่นตีกันจนทำให้คนสูดดมเริ่มเวียนหัว
เพราะปกติเธอก็ไม่ชอบน้ำหอมที่ปรุงแต่งเท่าไร
นอกจากดอกไม้สดที่ใช้ใส่อ่างอาบน้ำตอนนอนแช่เท่านั้น
“นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลไปดูงาน
ท่านว่าเราควรกลับกันได้หรือยัง?”คนเป็นแขกชวนกลับดื้อๆ
เพราะเริ่มจะทนกลิ่นน้ำหอมที่ตลบอบอวลไม่ไหวแล้ว
ท่านชีคเลิกคิ้วมองคนชวนกลับอย่างแปลกใจ ‘ขนาดมีผู้หญิงมาเต้นยั่วอยู่ปลายจมูก
มันยังนึกถึงเรื่องงานอยู่อีกรึนี่’ แต่เมื่อเห็นแขกคนสำคัญหน้าซีดเซียวเขาจึงรีบไถ่ถาม
“เจ้าเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดๆ?”
“ผมแพ้กลิ่นน้ำหอม” คนตอบ ตอบเสียงกระซิบเพราะยังเกรงใจนางระบำที่ยังพยายามเต้นยั่วอยู่ไม่ห่าง
ชีคนาซไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารมันดี
ที่พอมีสาวงามมาเต้นยั่ว เจ้าตัวกลับแพ้กลิ่นน้ำหอมของพวกนางเสียได้ ชีคนาซโบกมันให้สัญญาณกับพวกนางรำ
ให้พวกเธอหยุดเต้นและถอยกลับไปหลังเวที ก่อนจะลุกขึ้นยืนและยังช่วยหิ้วคนข้างตัวที่ยังหน้าซีดเซียวให้ลุกขึ้นด้วย
“ขอบคุณ”
คนถูกหิ้วกล่าวขอบคุณเบาๆ ขอบคุณที่เขาช่วยไล่พวกนางรำออกไปไกลๆก่อนที่เธอจะอาเจียนออกมาจริงๆให้ขายหน้าคนทั้งคณะ
และขอบคุณที่เขาจะพากลับสักที เพราะนี่จะสี่สิบแปดชั่วโมงแล้วที่เธอไม่ได้นอนพักเลย
“ไม่เป็นไร รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
ชีคนาซถามอย่างห่วงใย และเมื่อมันพยักหน้า
ก็เบาใจขึ้น แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันที่มันจับเขาทุ่มทีเผลอ
แถมยังทำท่ายืดอกอย่างหยิ่งผยอง เทียบกับอาการของมันตอนนี้แล้ว เขาก็อยากจะหัวเราะเยาะดังๆให้สะใจ
แต่กลับต้องกลั้นไว้ เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้นจริง ไอ้ตัวร้ายนี้คงจะโกรธเขาแน่ๆ และเขาก็ไม่อยากให้มันโกรธ
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่อยากให้มันโกรธ เขาชอบมองเวลามันหงุดหงิด
มันดูน่า…อืม…น่าเอ็นดูดี แต่ไม่อยากถูกโกรธ
แค่คิดว่ามันโกรธเขา เขาก็รู้สึกอึดอัดในอก
“ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ”ชีคนาซชวนเบาๆน้ำเสียงอาทร
คนถูกชวนเงยหน้าขึ้นยิ้มรับในทันใดเพราะรออยู่แล้ว
โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ใครบางคนหัวใจแกว่ง จนต้องหมุนตัวเดินนำออกจากห้องอาหารไปก่อน
ครั้งนี้ชีคนาซเดินออกจากร้านอาหารไปโดยไม่พวกนางรำไปรับใช้เลยสักคน
ทำให้เหล่าบอดีการ์ดมองหน้ากันอย่างประหลาดใจยิ่ง
เพราะทุกครั้งที่ท่านชีคเรียกนักเต้นระบำหน้าท้องมาเต้นรำ
จบการแสดงเมื่อไรต้องมีนางระบำตามไปปรนนิบัติท่านไม่ต่ำกว่าสองนาง
แต่ครั้งนี้ท่านไม่ชายตามองใครเลยสักคนเดียว
รถของชีคนาซขับมาส่งแขกคนสำคัญที่หน้าโรงแรมหลังจากที่อีกฝ่ายยืนยันว่าต้องการกลับมาพักผ่อน
ทั้งๆที่เขาพยายามหว่านล้อมชักชวนอีกฝ่ายไปฟังแพลงต่อแต่ไม่เป็นผล
และเขาเห็นว่าแขกคนสำคัญคงจะเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เพราะเจ้าตัวนั่งหลับตามาตลอดทาง
แต่ไม่ได้หลับเพราะตอบทุกคำถามของเขา
เขาอยากจับหัวเล็กที่หลับตาพลิ้วนั้นมาซบไหล่ของตนเหมือนกัน
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อระลึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย ถ้าทำอย่างนั้นคงดูแปลกๆ
และที่สำคัญมันคงโวยวายหาว่าเขาเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันเป็นแน่
แต่เขาสาบานได้ว่าไม่เคยมีความชอบพิเศษแบบนั้นเลย แม้จะเคยเจอผู้ชายที่สวยจนได้ตำแหน่งระดับโลกการันตีก็ตาม
แต่กับมัน….ไม่…
เขาแค่เอ็นดูมันเท่านั้นเอง เขาปฏิเสธทั้งๆในใจเริ่มหวั่นๆ
“ขอบคุณครับ ราตรีสวัสดิ์”
อาทิตยากล่าวขอบคุณและล่ำลาคนที่ขับรถมาส่ง
และพยายามจะลากเธอไปต่อที่อื่นแต่ไม่สำเร็จ
“อืม ราตรีสวัสดิ์ พรุ่งนี้เจอกัน”
ชีคนาซโบกมือลาแต่ยังไม่ยอมออกรถ จนคนที่ยืนรีรออยู่หน้าโรงแรมต้องหมุนตัวเดินเข้าโรงแรมไปก่อน
รถคันหรูจึงเคลื่อนออกจากที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น