คาราวานอูฐติดตามคน
เดินทางมาทั้งคืนจนกระทั่งรุ่งสาง
แต่ยังไม่เห็นแม้เงาของกลุ่มบอดีการ์ดของชีคอัลลามตามที่หน่วยข่าวรายงาน
แสงสีทองเริ่มส่องประกายจับขอบฟ้าด้านตะวันออก
“เราควรจะพักก่อน
หรือเดินทางต่อ?”
คนตัวเล็กมองแสงสีทองจับขอบฟ้าตะวันออกถามขึ้นลอยๆโดยไม่หันหน้ามามองคนตัวโตที่นั่งอยู่บนหลังอูฐตัวข้างๆ
“ไปต่อ..แดดกล้าค่อยพัก”ชีคนาซบอก
อาทิตยาพยักหน้ารับ
ก่อนจะหันกลับโบกมือส่งสัญญาณให้กองกำลังเคลื่อนที่ แต่ขณะกำลังจะเคลื่อนขบวนต่อนั้นเอง
ข้างหน้าก็เกิดปรากฎการณ์แปลกประหลาดขึ้น
“ดูนั่น!”อาทิตยาชี้มือไปยังกลุ่มทรายดำทะมึนด้านซ้ายมือ
“อะไร?”ชีคนาซซัก...และต้องชะงัก
เมื่อมองตาม
ท้องฟ้าที่เมื่อสักครู่นี้ยังแจ่มใส
แสงแดดเริ่มส่องแสงสว่างไสวมองเห็นทะเลทรายกว้างไกลสุดสายตา แต่ ณ ตอนนี้กลุ่มทรายดำทะมึนเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงสว่างอย่างรวดเร็วจนทำให้ทั่วทั้งบริเวณมืดมัวลงในทันใด
“เร็วเข้า
ไปให้ถึงกำแพงหินข้างหน้า” ชีคนาซตะโกนก้อง
ไม่ต้องให้บอกซ้ำทุกคนต่างเร่งอูฐให้เร็วขึ้น
พายุทรายขนาดมหึมาเคลื่อนที่เข้ามาใกล้พร้อมกับหอบเอาฝุ่นทรายปลิวฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้า
คนบนหลังอูฐต่างพากันปิดหน้าด้วยผ้าโพกหัว เมื่อพายุพัดแรงขึ้นอูฐของอาทิตยาก็มีอาการพยศ
เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เพราะตัวเองไม่ได้มีความชำนาญในการบังคับอูฐมาก่อน
ขณะที่กำลังกังวลใจก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มปลอบโยนเป็นภาษาอาหรับอยู่อีกฟากหนึ่ง
อูฐที่กำลังพยศก็คลายอาการขัดขืนและยอมเคลื่อนที่ตามแต่โดยดี
คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงคำว่า ‘วางใจ’ในใครสักคน
เมื่อคาราวานอูฐไปถึงกำแพงหิน
อูฐทุกตัวก็คู้เข่าลง
ทุกคนรีบหามุมที่มีก้อนหินกำบังตัวแล้วหมอบคุดคู้ตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเลี่ยงการปะทะกับพายุโดยตรง
พายุทะเลทรายทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนคนตัวเล็กเริ่มทรงตัวไม่อยู่เนื่องจากอยู่วงนอกสุดของกำแพงหิน
ชีคนาซเห็นดังนั้นก็ลากมันเข้ามากอดแนบอกเพราะกลัว ‘มัน’จะปลิวหายไปตามลมเสียก่อน
คนตัวเล็กตัวแข็งทื่อในทันใด ก่อนจะขยับตัวดิ้นรนขัดขืน
“อย่าขยับสิ
หรือเจ้าอยากบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแทนเดินทางบนพื้นดิน”
เสียงกระซิบเอ็ดเบาๆข้างหู
พร้อมกับกระซับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
แต่นั่นยิ่งทำให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนดิ้นรนมากขึ้น
ชีคนาซก้มลงมองร่างที่ดิ้นรนขัดขืนในอ้อมแขนแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข ตัว‘มัน’ช่างนุ่มนิ่มบอบบางและหอมกรุ่น
หอมจนเขาอดใจไม่ไหวต้องกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเพื่อจะได้สูดดมกลิ่นหอมนั้นได้อย่างเต็มที่
คนตัวเล็กพยายามดิ้นรนให้พ้นจากอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดไว้แน่น
...แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนรัดแน่นแถมยังโดนฝุ่นทรายกระหน่ำใส่อีก ดังนั้นเธอจึงยอมสงบลงชั่วคราว...ได้แต่อาฆาตอยู่ในใจ...มีโอกาสเมื่อไรล่ะก็....จะเอาคืนให้สาสมแน่
พายุทรายพัดกระหน่ำอยู่ราวครึ่งชั่วโมงจึงค่อยสงบลง
กองคาราวานอูฐถูกทรายถมจนเกือบมิดหัว
เมื่อพายุพัดผ่านทุกคนจึงตะเกียกตะกายออกมาจากหลุมทราย
ชีคนาซคลายอ้อมแขนอย่างเสียดาย
แม้ไม่ชอบใจที่ต้องเผชิญกับพายุทรายแต่กลับพอใจยิ่งกับร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นในอ้อมกอด
คนตัวเล็กรีบตะกายขึ้นจากหล่มทรายทันทีที่ร่างเป็นอิสระไร้พันธนการ
พลางมองค้อนคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ในหล่มทรายตาเขียว เธอไปช่วยขุดทรายให้คนอื่นๆที่ยังออกมาจากหลุมทรายไม่ได้
ชีคนาซขึ้นจากหลุมทรายได้ก็มายืนกอดอกมองอย่างขันๆ
เพราะตอนนี้ทุกคนมอมแมมจนเทียบจำหน้ากันไม่ได้ มีเพียงไอ้ตัวร้ายตาดุเท่านั้นที่เขาจำมันได้ขึ้นใจ
เมื่อพายุร้ายผ่านพ้นไปทุกคนก็เดินทางต่อ
แสงแดดที่ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศเช่นนี้ต่างอ่อนล้าไปตามๆกัน
แม้แต่อูฐที่มีความอดทนเป็นเลิศยังอ่อนกำลัง
“ข้าว่าพักก่อนดีกว่า” ชีคนาซเสนอ
อาทิตยาพยักหน้ารับ
ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้กองคาราวานหยุด
หน่วยจู่โจมที่มาด้วยช่วยกันกางกระโจมเล็กๆบังแดด
เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีอะไรที่พอจะอาศัยเป็นร่มได้เลย
“ข้าว่าเจ้าเข้ามาพักเอาแรงก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”
ชีคนาซบอกคนที่เดินวนเวียนอยู่นอกกระโจมอย่างเป็นห่วง
แต่ดูเหมือนมันจะไม่สนใจฟังเขาสักเท่าไหร่ เขาจึงตัดสินใจเดินไปลากมันเข้ามานั่งลงข้างๆ
แม้มันจะทำท่าฮึดฮัดบ้างแต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
“เจ้าบอกว่า
น้องสาวของเจ้าถูกชีคอัลลามจับตัวมา..เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้ไหม
ว่าเรื่องมันเป็นยังไง?”
ชีคนาซถามเรื่องที่ค้างคาใจ
แม้จะเคืองที่มันเอาเรื่องเครื่องเจาะสำรวจน้ำมันมาบังหน้า แต่ก็ไม่ได้โกรธ
เพราะถ้าน้องสาวของเขาโดนจับตัวไปแบบนี้เขาก็อาจจะใช้ทุกวิธีเพื่อหาทางช่วยเธอ
คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนเล่าเรื่องสั้นๆ “น้องผมทำงานอยู่โรงแรมที่ชีคอัลลามเข้าพัก
แล้วก็หายตัวไป รู้อีกทีก็หลังจากที่ชีคอัลลามออกนอกประเทศแล้ว”
ความจริงแล้วปาริฉัตต์เป็นลูกพี่ลูกน้องของปรายฟ้าเพื่อนสนิทของเธอ
น้องสาวเพื่อนก็เสมือนน้องสาวของตัวเอง อีกทั้งปาริฉัตต์ยังเป็นพนักงานของทีเค
กรุ๊ปอีกด้วย งานนี้ต้อง ‘เอาคืนสองเท่า’
“ทำไมถึงรู้ช้านักล่ะ..หรือว่าน้องสาวของเจ้าไม่ค่อยกลับบ้าน?”ชีคนาซซัก เพราะผู้หญิงอาหรับไม่มีอิสระที่จะออกไปไหนตามลำพังนักหรอก
คนฟังตวัดตามองค้อน “ไม่ใช่อย่างนั้น คืนนั้นเธอไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ
และบอกว่าจะนอนค้างบ้านเพื่อน แต่ถูกจับตัวไประหว่างทาง”
“อืม แสดงว่าชีคอัลลามจ้องรอจังหวะอยู่งั้นสิ”ชีคนาซเดาเหตุการณ์
“ใช่ และกว่าพวกเรารู้ก็เช้าวันใหม่
และกว่าจะหาข่าวได้ก็อีกหลายชั่วโมง”คนเล่าขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“เจ้าก็เลยใช้การเจรจาธุรกิจมาบังหน้า?”ชีนาซว่า
“ใช่
ขอโทษท่านด้วยที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย”คนที่ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนกล่าวขอโทษอย่างจริงใจที่นานๆครั้งถึงจะเอ่ยออกมา
“ช่างเถอะ....ถ้าเป็นข้าก็คงจะทำทุกทางเหมือนกัน”ชีคนาซไม่ถือสา
“ว่าแต่เจ้าจะทำยังไงต่อไป?”ชีคนาซถามต่อ
“ก็จะพยายามหาให้เจอ ไม่ว่าจะเธอเป็นยังไง…ถ้าท่านไม่ว่าอะไร…ผมอยากขอร้อง”
อาทิตยามองหน้าชีคนาซอย่างอ้อนวอนที่นานๆครั้งจะทำเช่นนี้กับใคร
เพราะปกติมักใช้อำนาจบังคับ หรือไม่ก็ใช้เล่ห์เล็กๆน้อยๆแค่นี้ทุกคนก็พร้อมจะยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างแล้ว
แค่เห็นแววตาอ้อนวอนของคนตรงหน้า
ใจเขาก็ละลายยิ่งกว่าขี้ผึ้งถูกไฟลนเสียอีก
“ข้าจะช่วยเจ้าเอง”ชีคนาซเสนอตัวเข้าช่วยโดยอีกฝ่ายไม่ต้องร้องขอใดๆเลย
มันจะรู้ไหมว่าแววตามันในขณะนี้สามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นได้เลยนะ
“ท่านจะช่วยจริงๆเหรอ?”
อาทิตยาถามให้แน่ใจ...เพราะที่ต้องการอย่างยิ่งในตอนนี้คือความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่
โดยเฉพาะจากคนที่มีอิทธิพลสูงสุดบนพื้นทรายแห่งนี้
“ใช่...ในเมื่อเจ้าเป็นคนสนิทของข้า
ข้าช่วยคนสนิทของตนเองจะแปลกอะไร”ชีคนาซกระเซ้า แต่เมินหน้าหนี
ไม่อยากมองหน้ามันให้มากกว่านี้ กลัวใจไม่รักดีจะแสดงอะไรออกมาให้คนตรงหน้าจับได้
‘คนสนิท’กลอกตามองค้อนแต่เถียงไม่ออก..เพราะคำพูดนั้นหลุดออกจากปากของตนจริง
“ท่านจะช่วยยังไง?”เธอถามอย่างสนใจ จะเป็น‘คนสนิท’ขนาดไหนนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ปาริฉัตต์สำคัญกว่า
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยยังไงล่ะ
ข้าทำได้ทุกอย่าง”
คำพูดที่หลุดออกจากปากทำให้ชีคนาซชะงัก แต่ก็ไม่คิดกลับคำ...ไม่ว่ามันต้องการอะไร
เขาสามารถให้มันได้ทุกอย่าง
ขอแค่อย่างเดียว...ขอแค่ให้มันอยู่ใกล้ๆเขาอย่างนี้ก็พอ
“ท่านพูดแล้วนะ
ว่าผมอยากให้ช่วยยังไง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง”แววตาคนถามวาววามสมใจ
ชีคนาซหรี่ตามอง..เจ้าตัวร้ายมันมีแผนอะไรในใจหรือเปล่าหว่า..แต่พูดแล้วจะกลับคำนั้น
ไม่เคยมีในประวัติคนอย่างเขา
“ข้าพูดจริง ทำจริงเสมอ”
“ขอบคุณ”
คนสมใจยิ้ม....เป็นยิ้มที่ลิงโลดดีใจยิ่ง
จนคน‘พูดจริง
ทำจริง’บอกตัวเองว่า แค่ได้เห็นรอยยิ้มนี้
ไม่ว่าจะต้องทำอะไรให้มันก็คุ้มแล้วล่ะ
แววตาแปลกๆที่มองมาทำให้คนที่กำลังยิ้มชะงักเก็บงำรอยยิ้มทันใด
.....หัวใจมีอาการเต้นแปลกๆ แถมเต้นแรงจนน่าตกใจ
ใบหน้าก็รู้สึกร้อนวุบวาบ...หรือเพราะอยู่กลางแดดจัดนานเกินไปก็เลยเป็นไข้ไม่สบายกะทันหัน...อัจฉริยะที่ไอคิวสูงลิ่วแต่อีคิวต่ำกว่ามาตรฐานเริ่มวิเคราะห์อาการของตนเอง
และเริ่มกังวล..ถ้าเกิดเป็นไข้ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ...
ชีคนาซมองรอยยิ้มที่หายไปอย่างแสนเสียดาย
แล้วก็เห็นคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม
เขาจึงยื่นมือไปหวังจะช่วยคลายปมนั้นให้ แต่เจ้าของคิ้วผงะใบหน้าหนีอย่างตกใจเพราะกำลังอยู่ในภวังค์
“จะกังวลอะไรหนักหนา
ข้าบอกว่าจะช่วยเจ้าทุกอย่าง
ข้าก็ต้องช่วยอย่างเต็มที่อยู่แล้ว..เจ้าจะได้เจอกับน้องเร็วๆนี้แน่ ข้ารับรอง”ชีคนาซบอกอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่น
คนที่เป็นกังวลเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ให้คำสัญญา
สายตาที่มองมามีแต่ความหนักแน่นมั่นคง ทำให้คนมองรู้สึกอุ่นใจไว้วางใจจนต้องพยักหน้ารับ…ใช่ เธอจะต้องหาปาริฉัตต์เจอในเร็ววันนี้แน่นอน
ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกำลังสำหรับการเดินทางต่อ
จู่ๆชีคนาซก็ก้มลงเอาหูแนบกับพื้น
“มีกองม้ากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางกวาดตาหาเนินทรายที่จะใช้เป็นชัยภูมิ
ไม่รู้ว่ากองกำลังที่มานั้นเป็นพวกไหน ป้องกันเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
“ไปหลบที่หลังเนินทรายโน่น”เขาสั่ง ทุกคนรีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
แต่กองกำลังอีกฝ่ายมาเร็วกว่าที่คิด
ชีคนาซเขม้นมอง..กองโจรของชีคอัลลาม...
“เจ้าหลบไปก่อน”
ชีคนาซสั่ง แต่คนตัวเล็กหาฟังไม่ยังยืนปักหลักอยู่คู่กับเขา
บอดีการ์ดของบาฮจาและทีเคกรุ๊ป ก็กระจายกำลังเป็นครึ่งวงกลม
เตรียมพร้อมรับการจู่โจมและปกป้องเจ้านายของตน
“เจ้าได้เจอกองโจรทะเลทรายของจริงแล้วล่ะ”ชีคนาซกระซิบบอกเสียงเครียด
...กองกำลังที่โอบล้อมอยู่นั้นมีประมาณสี่สิบกว่าคน ซึ่งพอๆกับกองกำลังของบาฮจาและของทีเคกรุ๊ปรวมกัน
ชีคนาซส่งสัญญาณให้คนของตน
บอดีการ์ดเมื่อได้รับสัญญาณจู่โจมก็ทิ้งตัวลงบนพื้นทราย และเคลื่อนตัวเข้าหาศัตรู คนของทีเค
กรุ๊ปก็ทิ้งตัวลงและปฏิบัติตามเจ้าของถิ่น คนตัวเล็กก็เข้าร่วมกับเขาจนชีคนาซต้องทิ้งตัวลงตามประกบตัวไม่ห่าง
เมื่อศัตรูเคลื่อนที่เข้ามาในรัศมีอาวุธ
บอดีการ์ดของชีคนาซกับคนของทีเคกรุ๊ปก็เปิดฉากโจมตีทีทัน
เสียงปืนดังก้องไปไกลในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
กองโจรล่วงลงจากหลังม้าราวกับใบไม้ล่วงจนขณะนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง
แต่พวกมันล้วนเป็นพวกเดนตาย เสียงปืนและเลือดของพวกพ้องคล้ายเป็นยากระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าให้ลุกโชนขึ้น
พวกมันควบม้าตรงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่กลัวตาย
พร้อมกับชักดาบยาวที่เหมาะสำหรับต่อสู้ในระยะประชิดตัวเข้าโรมรัน
บอดีการ์ดของชีคนาซกับคนของทีเคกรุ๊ปประสานเป็นทีมเดียวกันได้อย่างดียิ่ง ทั้งสองทีมต่างช่วยกันรับมือและโค่นกลุ่มโจรลงอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานศัตรูก็ถูกเก็บจนเหลือแค่ไม่กี่คน
“ระวัง!”
ชีคนาซร้องเสียงหลง
พร้อมกับกระโดดคว้าคนตัวเล็กมากอดไว้แนบอกอย่างปกป้องเมื่อเห็นพวกโจรที่โดนยิงนอนกองอยู่บนพื้นทรายผงกหัวขึ้นและเล็งปืนมาที่คนตัวเล็กที่กำลังต่อสู้อยู่กับเจ้าโจรร่างยักษ์ไม่มีเวลาระวังหลัง
ปัง!
“ไม่!”
เสียงใสร้องก้องเมื่อรับรู้ถึงแรงกระตุกของคนที่กอดตนแน่น
“ฆ่ามันให้หมด”
อาทิตยาร้องสั่งอย่างเดือดดาล
เลือดในกายเดือดพลั่กคล้ายดั่งน้ำเดือด อยากสับพวกมันให้เละกับมือ แต่เป็นห่วงคนที่ทรุดลงกองที่ยังกอดตนไว้แน่นอย่างปกป้อง
จนเธอต้องกอดเขาตอบ ใช้ร่างกายตนเป็นโล่กำบังไม่ให้ใครมาทำร้ายเขาซ้ำได้อีก
บอดีการ์ดของชีคนาซและทีเคกรุ๊ปรีบเคลื่อนตัวมาตั้งวงป้องกันเจ้านายตนอย่างรวดเร็ว
และลงมันปลิดชีพศัตรูที่เหลือจนแน่ใจว่าไม่มีใครเหลือลมหายใจมาลอบกัดพวกตนได้อีก
“เรียบร้อยแล้วครับเจ้านาย”
เวธน์ก้มลงบอกเจ้านายตนที่ยังกอดร่างสูงไว้อย่างปกป้อง...ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมอง
ใบหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แววตาหวาดหวั่นอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ผมขอดูแผลท่านชีคก่อน”เวธน์ทรุดนั่งลงข้างๆชีคนาซ คนตัวเล็กยอมถอยห่าง
แต่มือใหญ่ของคนเจ็บกลับเอื้อมมาคว้ามือเล็กไว้ไม่ยอมวาง
“ข้าไม่เป็นไร”คนเจ็บกัดฟันบอก
“อย่าเพิ่งพูด
ให้เวธน์ดูแผลก่อน”คนตัวเล็กบอกเสียงอ่อนโยน
ดวงตาเริ่มฝ้าด้วยหยาดน้ำจนต้องกระพริบตาไล่
ชีคนาซเห็นดังนั้นก็อมยิ้มจนดวงตาเป็นประกายวาววับ
ทั่งๆที่ใบหน้าซีดเซียวเพราะเสียเลือดมาก ‘เจ้าร้องไห้เพราะเป็นห่วงข้าสินะ’
เวธน์เข้ามาดูแผลให้อย่างชำนาญเพราะเขาเป็นนายแพทย์ที่ผ่านการฝึกอย่างหฤโหดเพื่อมาเป็นหนึ่งในทีมบอดีการ์ดฝีมือฉกาจของทีเคกรุ๊ป
“กระสุนฝังใน ต้องผ่าตัดด่วน
ผมจะห้ามเลือดให้ก่อน”เวธน์รายงานเสียงเครียด ก่อนจะช่วยพยาบาลชีคนาซอย่างรวดเร็ว
บอดีการ์ดของบาฮจา
วิทยุขอเฮลิคอร์ปเตอร์ฉุกเฉิน ส่วนคนของทีเค กรุ๊ป
ก็ติดต่อกับฐานที่ประเทศไทยเพื่อให้ฝ่ายนั้นใช้ดาวเทียมหากลุ่มคนร้ายที่อาจจะมีอยู่ในพื้นที่ใกล้
เพื่อเตรียมการรับมือ ส่วนคนที่จับมือกับคนเจ็บนั้นนั่งนิ่งยิ่งกว่าศิลา
แต่คนที่ใกล้ชิดรู้ดีว่า..นั่นคือสัญญาณของระเบิดเวลานั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น