‘แล้วนี่มันคืออะไร? ก็ไหนว่าจะไม่พบไม่เจอกันอีกไง แล้วทำไมนายนั่นถึงได้มายืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าบ้านแถมบอกว่าจะย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านด้วย’
หญิงสาวอยากลงไปชักดิ้นชักงอให้รู้แล้วรู้รอด
“ไอ้อร แกอยู่ไหนวะ?”เมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอก็รีบโทรหาตัวช่วยทันที
“อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด”เสียงตอบเบาราวกระซิบ
“แกกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ
กลับมาตอนนี้เลย”ธีราภรณ์สั่งเสียงสั่น
“หือ มีอะไร?”ปลายสายถามอย่างสงสัย
“ก็ไอ้บ้าเพื่อนแกนะสิ
ย้ายมาอยู่ข้างบ้านเรา”ธีราภรณ์บอกอย่างหงุดหงิด
“ไอ้บ้าไหนอะ?”
“แกมีเพื่อนบ้าๆอยู่กี่คนวะ?”ธีราภรณ์ถามเสียงขุ่น
“เยอะแยะ พวกแกก็บ้า”
คำตอบของเพื่อนทำให้ธีราภรณ์ทั้งฉุนทั้งขำ
“แกนั่นแหละบ้า ฉันหมายถึงไอ้กะล่อนเพื่อนเก่าแกที่เรียนวิศวะน่ะ”ไม่อยากเรียกชื่อให้เป็นอัปมงคลกับปาก
“อ้อ พัทธ์นะเหรอ”
“เออ นั่นแหละ ตอนนี้นายนั่นมายืนยิ้มอยู่หน้าบ้านเรา
แกช่วยมาไล่เขาออกไปที”
“เฮ้ย! ฉันไม่ใช่เจ้าของบ้านนะ
จะไล่เขาไปได้ยังไง”อรปรียาทักท้วง
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ตาม แกต้องกลับมาจัดการให้ฉัน
เดี๋ยวนี้ด้วย”สั่งเสร็จก็กดวางสายไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้
วทันยูมองหน้าคนที่ทำหน้ามุ่ยตรงหน้าแล้วต้องอมยิ้ม
‘แฟนของเขาทำหน้ายังไงก็น่ารัก’
“ยิ้มอะไรอ่ะ คนยิ่งกลุ้มๆอยู่นะ”อรปรียาค้อนขวับ
“กลุ้มเรื่องอะไรจ๊ะ? มีอะไรให้ทันช่วยไหม?”
เสียงถามแสนอ่อนโยนเอาใจนั้นทำให้อรปรียายิ้มได้
“ก็นายพัทธ์นะสิ ไปเช่าบ้านอยู่ข้างๆบ้านอร ไอ้น้ำก็เลยเป็นโรควิตกจริต
สั่งให้อรไปไล่นายนั่นออกไป อรไม่ใช่เจ้าของบ้านสักหน่อย”คนเล่าหน้ามุ่ย
พร้อมถอนใจเฮือก
คนฟังขมวดคิ้วหน้าตึงทันที ‘ไอ้พัทธ์กำลังจะทำอะไรกันแน่?’
“เรากลับบ้านกันเถอะ”
คำว่า “บ้าน”ทำให้คนชวนรู้สึกอบอุ่นวาบหวาม
เพิ่งเข้าใจว่าทำไม พวกที่มีแฟนถึงชอบไปเช่าห้องพักอยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆ
เขามองหน้าคนข้างกาย
เธอเพียงพยักหน้ารับไม่สะดุดใจอะไร วทันยูอยากถามความคิดเห็นของหญิงสาวถึงเรื่องที่นักศึกษาชอบไปเช่าห้องอยู่กันเป็นคู่ๆ
แต่ก็กลัวเธอเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพวกชอบชิงสุกก่อนห่ามจึงสะกดใจไว้
หลังจากที่คบกันมาพักหนึ่งเขาก็รู้ว่ากลุ่มของเธอค่อนข้างหัวโบราณเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เพียงสิบนาทีรถซีวิกซ์สีบอร์นก็แล่นมาจอดหน้าบ้านแฝดหลังเล็ก
ซึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาดียืนยิ้มร่ารออยู่
“หวัดดีอร
พัทธ์มาเช่าบ้านอยู่ข้างบ้านอรล่ะ”
อนพัทธ์ยิ้มหน้าบาน อรปรียาขมวดคิ้วพยักหน้ารับรู้
ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“อร
ทันขอคุยกับไอ้พัทธ์แป๊บนึงนะ”วทันยูรีบกันแฟนสาวออกห่าง พร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนเขม็งอย่างไม่ไว้ใจ
อรปรียาพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าบ้านพักของตัวเอง
“ไอ้อร แกคุยกับเพื่อนแกหรือยัง?”ธีราภรณ์เอ่ยถามอย่างร้อนใจทันทีที่อรปรียาเปิดประตูเข้าบ้านไป
“ทันกำลังคุยอยู่”
“หือ
ทำไมแฟนแกต้องไปคุยกับหมอนั่นด้วย?”ธีราภรณ์ขมวดคิ้วสงสัย
“ก็เขาเป็นเพื่อนกัน”
“หือ แฟนแกก็เป็นเด็กวิศ’วะเหรอ?”ธีราภรณ์ตาโต
“อ้าว ฉันยังไม่ได้บอกพวกแกเหรอ?”อรปรียาเลิกคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจ
ธีราภรณ์ค้อนขวับ “บอกบ้าอะไรล่ะ
แกพาเขามาแนะนำและเล่าเรื่องที่เจอกันยังได้ไงแค่นั้น”
“อ้าวเหรอ โทษที”อรปรียายกมือขอโทษ
“ช่างมันเถอะ
แต่ว่าแฟนแกจะไล่หมอนั่นไปได้ไหม?”ธีราภรณ์ถามถึงเรื่องที่ร้อนใจอยู่ขณะนี้
“ไม่รู้สิ เดื๋ยวก็คงรู้เรื่อง
ว่าแต่แกกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”อรปรียาเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นผักที่ถูกหั่นค้างไว้
“ว่าจะแกงส้ม ไอ้บ้านั่นมากดออดก่อน
ฉันก็เลยสติแตกคิดอะไรไม่ออก”ธีราภรณ์บอกอย่างหงุดหงิด
“ฮ่าๆๆ แกนี่ท่าจะเป็นเอามาก กลัวนายพัทธ์อะไรนักหนา?”อรปรียาส่ายหน้าหัวเราะขำ
ธีราภรณ์ตาวาว “ฉันไม่ได้
กลัว แต่ ฉัน เกลียด เข้าใจไหม?”เธอกล่าวย้ำทีละคำ
“เออๆ เข้าใจแล้ว
ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ระวังนะ เขาว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอนะแก”อรปรียาแหย่พร้อมหัวเราะเบาๆ
ธีราภรณ์ค้อนขวับ “ไอ้บ้า
ปากไม่เป็นมงคล”
********
ทันทีที่อรปรียาเดินเข้าบ้าน
วทันยูก็หันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไอ้พัทธ์
แกทำยังงี้หมายความว่าไงวะ?” วทันยูมองเพื่อนตาขวาง
“ทำอะไร ?
ฉันยังไม่ทำอะไรเล๊ย”อนพัทธ์ตีหน้าซื่อ
“แกไม่ต้องมาทำไขสือ
แกย้ายมาอยู่ข้างบ้านเขา แกต้องการอะไรกันแน่?”วทันยูถามด้วยสีหน้าจริงจัง
อนพัทธ์หัวเราะขำ “ไอ้ทัน
ถึงจะฉันบ้า แต่ก็ไม่โง่ที่จะยอมอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกนะโว้ย จุดประสงค์ของฉันอยู่ที่เพื่อนของอร
ยัยหัวฟูๆน่ะ”
วทันยูหรี่ตามองไม่ไว้ใจ
“ถ้าแกกลัวว่าฉันจะไปวอแวกับอร
แกก็ย้ายมาอยู่กับฉันสิ ห้องก็ว่างอีกตั้งห้องนึง”
“แสดงว่าแกไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม?”วทันยูถามเสียงจริงจัง
“เปลี่ยนบ้าอะไรล่ะ
ฉันจ่ายไปหมื่นกว่าบาท แกว่ามันเปลี่ยนได้ง่ายนักหรือไง? สัญญาเช่าก็เซ็นไปแล้ว”
“หือ?
ค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่?”
“สี่พัน จ่ายล่วงหน้าสองเดือน
รวมเดือนนี้ก็สาม มัดจำอีกพัน ไม่รู้ว่าพ่อจะว่าอะไรหรือเปล่า?”
“ก็สมควรแล้วล่ะ
ห้องที่คอนโดก็ซื้อไว้ให้ แกยังหาเรื่องมาเสียตังค์เช่าบ้านอีก”วทันยูส่ายหน้า
อนพัทธ์ยักไหล่ ‘โดนพ่อด่ายังดีกว่าต้องกราบตีนไอ้ชัยล่ะวะ’
“แล้วแกจะมาอยู่กับฉันไหม?”อนพัทธ์เปลี่ยนเรื่อง
“ไม่รู้ว่าอรจะว่าอะไรหรือเปล่า?”วทันยูนิ่วหน้าอย่างลังเล
อนพัทธ์หัวเราะขำ ‘ไอ้นี่สงสัยมาจากเผ่า
“เกลียมัว” ยังไม่ทันไรก็ออกอาการซะแล้ว’ แล้วอนพัทธ์ก็คลี่ยิ้มดวงตาแวววาวเจ้าเล่ห์
“เฮ้อ ถ้าอยู่ใกล้อรมากๆ
ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะตัดใจได้หรือเปล่า?”
วทันยูตาโต “ไอ้พัทธ์! แกพูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะ?”
“อ้าว แกไม่อยู่คุมฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ว่าจะแอบเผลอใจหรือเปล่า ว่าไงแกจะมาอยู่กับฉันไหม?”คนถามตาวิบวับ
“ไอ้บ้า ฉันต้องมาอยู่แล้ว ใครจะไว้ใจแก”วทันยูตอบอย่างหงุดหงิด ‘ไอ้หมอนี่ไว้ใจได้ซะที่ไหน’
“งั้นเราก็ไปเก็บของกันเถอะ”อนพัทธ์ชวนหน้าบาน
“เฮ้ย!
อย่าบอกนะว่าแกจะย้ายมาอยู่ตั้งแต่วันนี้”วทันยูตาโต
“ก็เออสิวะ คนยิ่งไม่มีเวลาอยู่ด้วย”
“เวลาอะไร? แกกำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า?”วทันยูถามอย่างระแวง
“อ้าว
ฉันก็ต้องรีบทำคะแนนสิโว้ย ยิ่งอยู่ใกล้เขาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ? หรือว่านายไม่อยากอยู่ใกล้ๆอร?”
“ก็อยากอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะว่ายังไง”
“นายนี่มันเผ่าเกลียมัวชัดๆ
เราเป็นผู้ชายนะโว้ย อย่าให้ผู้หญิงข่มได้สิวะ”อนพัทธ์ตบบ่าเพื่อนอย่างล้อเลียน
วทันยูยิ้มเขิน “เออๆ แล้วฉันจะคอยดูแก”
“คงต้องรอไปถึงชาติหน้าโน้นแหละ
เพราะฉันมันเผ่า มัวเกลีย ไม่ใช่เผ่าเกลียมัวแบบนาย”
อนพัทธ์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ
วทันยูยิ้มที่มุมปาก พลางคิดในใจ ‘ฮึ แล้วฉันจะคอยดู
ไอ้พวกปากดีอย่างนี้แหละ ยิ่งกลัวมากกว่าใครเพื่อน’
ส่วนอนพัทธ์กำลังอมยิ้ม เมื่อเขานึกภาพตัวเองนั่งเอนตัวอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟาหนานุ่มพลางชี้นิ้วสั่งงานโดยมียัยหัวฟูวิ่งลุกลี้ลุกลนทำตามบัญชาของเขาราวกับทาสผู้จงรักภักดี
สองหนุ่มก็ขับรถตามกันออกไป ด้วยรอยยิ้มอย่างหมายมาดไปคนละทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น