ตอนที่
2 ข่าวร้าย และการไล่ล่า
ติ๊ดดด
ติ๊ดดดดดดดด
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างเตียงส่งเสียงดังไม่หยุด
ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงงัวเงียตื่นขึ้นมา มือยาวคลำเปะปะไปมาเพื่อหาแหล่งกำเนิดของเสียงที่ดังรบกวนประสาทอยู่ในขณะนี้ทั้งๆที่ยังหลับตา
และเพียงไม่นานเขาก็หามันเจอ เขาลากนิ้วบนหน้าจอเพื่อปลดล็อค
ก่อนจะยกอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเล็กขึ้นแนบหูตามความเคยชิน
“ฮา
โหล”
เสียงที่กรอกลงไปในเครื่องมือสื่อสารบ่งบอกได้ดีว่าคนพูดไม่พร้อมที่จะตื่นในเวลานี้
“มีสเตอร์เบเนท
ผมอีแวน ขอโทษที่ต้องโทษมารบกวนคุณในเวลานี้”คนที่โทรศัพท์มารบกวนในเวลาที่ไม่เหมาะสมกล่าวขออภัย
“เกิดอะไรขึ้น?”ชายหนุ่มตื่นเต็มตาทันที เขาถามเสียงเครียด
เมื่อรู้ว่าใครโทรมา เพราะเขารู้จักอีกฝ่ายดี
คนที่โทรศัพท์มาถอนหายใจยาวก่อนจะพูดเข้าประเด็นทันที
“ผมขอแสดงความเสียใจที่จะแจ้งคุณว่า
เราพบศพมีสเตอร์แลนดรอฟ อยู่ในรถที่ถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าสนใกล้เขต ฮอลลีวูด ฮิลส์
คาดว่าเขาน่าเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่าสามสิบชั่วโมงแล้ว”
“แล้วตอนนี้ศพของเขาอยู่ที่ไหน?”วูล์ฟถาม
พลางลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“โรงพยาบาลนิติเวช…..”อีกฝ่ายบอกชื่อโรงพยาบาลที่นำศพมาเพื่อชันสูตร
“โอเค
ผมจะรีบไป แต่ว่าพวกคุณแจ้งเรื่องนี้ให้เฮเลนรู้หรือยัง?”
วูล์ฟถามร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
เพราะรู้ดีว่าพี่สาวของตนนั้นเป็นโรคซึมเศร้าอยู่
สาเหตุหลักก็มาจากคนที่ตำรวจเพิ่งพบศพนั่นแหละ
“เราจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้กับมีสซีสแลนดรอฟทราบครับ”
“บ้าจริง!”
วูล์ฟสถบอย่างหัวเสีย
ก่อนจะกดตัดสายอีกฝ่ายทันที เพื่อต่อโทรศัพท์ไปหาพี่สาวของตนอย่างร้อนใจ
แต่รอสายอยู่นานกลับไม่มีคนรับสาย เขาจึงต่อโทรศัพท์หาแม่บ้านที่อยู่ประจำที่นั่น
เมื่ออีกฝ่ายกดรับเขาก็สั่งการเสียงเครียด
“ไปเฝ้าเฮเลนอย่าให้คาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
จนกว่าฉันจะไปถึง”
“ค่ะ
ๆๆ”
แม่บ้านสูงวัยรับคำอย่างตระหนก
รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแน่แล้ว นางจึงรีบไปคอยเฝ้าเฮเลนตามคำสั่ง
แต่คนที่เธอมาเฝ้ากลับมีอาการเหม่อลอยน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายคล้ายกับว่าเธอไม่รับรู้อะไรแล้ว
เฮเลน
เบเนท มีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอเป็นคนคิดมากและเครียดง่าย
ยิ่งแต่งงานกับโรเบิร์ต แลนดรอฟ ยิ่งทำให้เธอเครียดยิ่งกว่าเดิมจนมีอาการของคนเป็นโรคซึมเศร้า
เธอพยายามฆ่าตัวตาย จนต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแล้วหลายครั้ง
ครั้งล่าสุดอาการของเธอเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นจนสามารถกลับมาอยู่บ้านได้ตามปกติ
แต่ต้องกินยาประจำ และเหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้เธอเป็นอย่างมากจนอาการของโรคซึมเศร้ากำเริบรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าวูล์ฟจะจ้างพยาบาลพิเศษตามประกบพี่สาวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วก็ตาม
แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายได้ เมื่อเฮเลนนั้นได้แอบกินยานอนหลับเกินขนาดจบชีวิตตนเองลงในวันที่ทำพิธีฝังศพของโรเบิร์ตนั่นเอง
‘วูล์ฟ เบเนท’แค้นคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่สาวของเขาต้องเสียชีวิตมาก
เขาจึงประกาศลั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ล่าทุกๆคนที่มีส่วนให้เกิดเหตุการณ์นี้มาลงโทษให้จงได้
และเขาก็มั่นใจว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็คือ ‘นางมารร้าย’ที่เขาเจอในร้านอาหารวันนั้นอย่างแน่นอน เพราะภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้มาคือภาพของโรเบิร์ตจอดรถรับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ริมถนน
ซึ่งจากการคำนวณน่าจะเป็นคืนเกิดเหตุและเป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาจะถูกฆาตกรรมเพียงไม่นานนัก
ซึ่งนั่นหมายถึงว่า..ผู้หญิงในภาพจะต้องมีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน..
และที่สำคัญภาพที่ได้มานั้นคล้ายกับผู้หญิงที่เขาเข้าไปขัดขวางดินเนอร์ของเธอกับโรเบิร์ตในคืนนั้นมาก
ทำให้เขาปักใจเชื่อว่า ผู้หญิงในภาพนั้นต้องเป็น‘นางมารร้าย’นั่นแน่นอน….เขาจึงป่าวประกาศทั้งในที่ลับและที่แจ้งให้ตามล่าผู้หญิงคนนั้น
อยากจะรู้นักจะมีใครหนีรอดจากการไล่ล่าของ ‘หมาป่าโลกันตร์’อย่างเขาไปได้
ถนนแปซิฟิก
เอเวนิว ซึ่งมุ่งหน้าสู่เวนิช บีชในนครลอสแองเจลีส มีคอนโดมิเนี่ยมหรูหราผุดขึ้นราวดอกเห็ด
แต่คนที่จะมีสิทธิ์จับจองเป็นเจ้าของได้นั้นล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป
เพราะราคาที่ดินที่แพงยิ่งกว่าเพชรทำให้ราคาของคอนโดหรูที่นี่แพงพอๆกับ ‘บลูไดมอนด์’เลยทีเดียว
เวลาประมาณเจ็ดโมงกว่า
รถออสตันมาร์ตินรุ่นล่าสุดได้เลี้ยวเข้ามาในคอนโดมิเนี่ยมสุดหรูอย่างคุ้นเคย
เขาแสดงบัตรผ่านต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อนจะขับรถเลี้ยวไปบริเวณลานจอดรถด้านในของคอนโด
เมื่อจอดรถสนิท ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตามมาตรฐานชายชาวยุโรปก็ก้าวออกจากรถ
ใบหน้าของเขาหล่อเหลาแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตกอย่างลงตัวที่ไม่ว่าใครเจอก็คงคิดว่าเขาเป็นดาราหรือไม่ก็นายแบบแน่ๆ
หลังจากล็อครถเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังตัวอาคารที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็ก้าวเดินไปยืนหน้าลิฟท์และกดปุ่ม เมื่อลิฟท์เลื่อนลงมาถึงและเปิดออกเขาก็ก้าวเข้าไปด้านใน
แต่ขณะจะกดปุ่มหมายเลขชั้นที่ต้องการ เขาก็ได้ยินเสียงรองเท้าที่วิ่งซอยมาถี่ๆ
เขาจึงกดเปิดประตูลิฟท์รอคนมาใหม่ เพราะเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะรีบ
ขณะนั้นเองก็มีเด็กสาวคนหนึ่งก้าวพรวดเข้ามาในลิฟท์ที่เปิดอยู่ แต่ทันทีที่สบตากับคนที่อยู่ด้านใน
คนที่ก้าวเข้ามาทีหลังก็ค้างแข็งอยู่ในท่าก้าวขวางประตูอัตโนมัติที่กำลังจะเลื่อนปิด
เพื่อไม่ให้เธอกลายเป็นไส้แซนวิชที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปกระชากแขนคนที่ยืนแข็งค้างเข้ามาในลิฟท์อย่างแรง
หญิงสาวรอดพ้นจากการถูกประตูหนีบอย่างหวุดหวิด
แต่แรงกระชากนั้นคงมากเกินไปทำให้คนกระชาก และถูกกระชากเสียหลักล้มกลิ้งด้วยกันทั้งคู่
แล้วประตูลิฟท์ก็ปิดลง พร้อมกับเลื่อนขึ้นไปชั้นบนตามหน้าที่ของมัน โดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ภายในจะอยู่ในลักษณะใด
“นี่คุณ
จะลุกขึ้นได้หรือยัง? ผมหนักนะ”
เสียงหงุดหงิดของผู้ชายทำให้
‘แพทริเซีย บราวน์นี่’สะดุ้ง แล้วเธอก็พบว่าขณะนี้ตนเองกำลังนอนทับอยู่บนร่างใหญ่โตของผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งกำลังผงกศีรษะขึ้นมาถลึงตาใส่เธออย่างดุดัน
“จะนอนอีกนานไหม?
คนนะไม่ใช่เบาะ จะได้นอนทับนานๆได้”
เสียงหงุดหงิดดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อคนด้านบนเอาแต่จ้องหน้าเบิกตาโตไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ
ประโยคนี้ทำให้เด็กสาวได้สติ
เธอจึงลนลานจะพลิกตัวลงจากร่างของเขา แต่มือเจ้ากรรมที่ต้องการหาหลักยึดเพื่อพยุงตัวเองออกจากอกเขา
ดันไปคว้า ‘หลัก’กลางลำตัวของคนที่อยู่ด้านล่างเข้า
จนเจ้าของ ‘หลัก’ต้องร้องลั่น
“เฮ้! อย่าจับมั่วสิ!”
ชายหนุ่มตะคอกอย่างหงุดหงิด
ก่อนจะจับคนที่กำลังลวนลามตนให้พลิกตัวไปด้านข้าง
ส่วนตัวเองลุกขึ้นนั่งพลางมองค้อนคนก่อเหตุตาเขียว…
‘ยัยเด็กบ้า ..ขย้ำซะเต็มแรง..ป่านนี้ไม่ช้ำไปหมดแล้วหรือไง’
คนถูกมองตาเขียวห่อตัวอย่างหวาดระแวง… ‘ไปจับโดนเส้นอะไรเขาเข้าล่ะ
ถึงได้หน้าเขียวตาขุ่นซะขนาดนี้..แต่ว่า..มันไม่ได้เป็นเส้นนะ..มันเป็นแท่ง..หรือว่า…อ๋า..คงไม่ใช่หรอกมั้ง’
คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าไปจับโดน‘แท่ง’อะไรของเขาถึงกับหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
เจ้าของ‘แท่ง’ต้นเหตุมองเขม็งอยู่ก่อนถึงกับถลึงตาดุใบหน้าบึ้งตึงสีเข้มขึ้นอีกระดับ…
‘ยัยเด็กบ้า..ยังจะมาแอบมองอีกนะ..ของของเขาไม่ใช่ของสาธารณะที่จะปล่อยให้ใครมองก็นะได้โว๊ย’..คนหวงของคิดอย่างหงุดหงิดที่โดนขย้ำแล้วยังถูกมองซ้ำอีก
ระหว่างที่คู่กรณีนั่งจ้องตากันอยู่นั้นประตูลิฟท์ก็เปิดออกเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
ทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูออกจากห้องมาพบเหตุการณ์เข้าพอดีถึงกับเบิกตาโตกับภาพที่เห็น
“เล่นมวยปล้ำกันอยู่เหรอคะ?”
คนถามพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ปล่อยเสียงหัวเราะให้เล็ดลอดออกมา
แต่คนถูกทักเหลือบตามองเห็นว่าร่างบางในชุดแซกสีขาวนั้นสั่นนิดๆเพราะพยายามกลั้นหัวเราะ
แถมยังยกมือขึ้นปิดปากตนเองไว้อีกต่างหาก
เมื่อถูกทัก
ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะช่วยฉุดแขนคู่กรณีให้ลุกขึ้นตาม
พร้อมกับลากอีกฝ่ายออกจากลิฟท์ เพราะขี้เกียจกลับไปกระชากคนออกจากประตูลิฟท์อีกครั้ง
“อุบัติเหตุนิดหน่อย”ชายหนุ่มบอก
พลางจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่
“อ้อ แล้วรู้จักกันหรือคะถึงได้มาด้วยกัน?”บุคคลที่สามถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“เปล่า
เธอรู้จักกับเด็กนี่ด้วยเหรอ?”ชายหนุ่มถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
‘เด็กนี่’ทำปากยื่นทันทีเมื่อโดนพาดพิงถึงซึ่งๆหน้า
ทั้งๆที่เธอก็ยืนหัวโด่อยู่ด้วยแท้ๆ แต่อีตานี่กับพูดถึงอย่างไม่เกรงใจกันบ้างเลย
“ค่ะ
นี่แพทตี้ แพทริเซีย บราวน์นี่ แล้วนี่พี่ติณห์ รุ่นพี่ของพี่เองจ๊ะ”คนกลางทำหน้าที่แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน
“อืม..พี่ธุระสำคัญจะคุยด้วย”
ติณห์พยักหน้ารับรู้
ก่อนบอกเสียงเครียด ไม่สนใจจะทำความรู้จักกับเด็กสาวตรงหน้าสักเท่าไร
เพราะธุระตนนั้นร้อนกว่า
“งั้น
เชิญที่ห้องดีกว่าค่ะ ไปแพทตี้
ไปคุยกันในห้อง”เจ้าของห้องเชิญพร้อมกับจูงมือเด็กสาวให้เดินตาม
“แต่..พี่เรนนี่มีธุระ”
เด็กสาวอึกอัก
เธอไม่ได้มีธุระอะไร แต่ที่มาหาอีกฝ่ายเพียงเพราะอยากหาเพื่อนคุยแก้เหงาเท่านั้นเอง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก
เข้ามาเถอะ ดีกว่าจะไปเตร็ดเตร่คนเดียว โดดเรียนมาไม่ใช่หรือไง”อีกฝ่ายดักคอ
คนที่โดดเรียนจึงทำหน้าจ๋อย ยอมเดินตามคนรู้ทันอย่างว่าง่าย
ติณห์เหลือบตามอง ‘เด็กโดดเรียน’ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไร คนที่เดินตามมาเหลือบเห็นอาการส่ายหน้านั้นเข้าพอดีจึงอดเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ไม่ได้
เธอโดดเรียนก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนสักหน่อย ทำไมต้องมาทำหน้าอย่างนั้นใส่ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น