ตอนที่
15 เจอตัววุ่นวาย กลางทะเลทราย
ไผทกับนาซีมประชุมวางแผนกันเคร่งเครียดมาหลายวัน
หน่วยข่าวที่ส่งออกไปสืบข่าวตามเมืองต่างๆก็ไม่มีข่าวคืบหน้าอะไรเลย
ไผทร้อนใจยิ่งเนื่องจากกลัวว่า ‘เจ้านายตัวร้าย’จะหนีกลับมาได้เสียก่อน
แล้วคนจะเดือดร้อนก็..ตนนั่นแหละ
“เราจะแบ่งกำลังออกเป็นหกสาย
ตระเวนไปตามเมืองต่างๆ”นาซีมชี้จุดที่กองกำลังทั้งหกต้องออกตามหาปาริฉัตต์
ไผทพยักหน้ารับ…ยังดีกว่าให้เขาจับเจ่ารอฟังข่าวอยู่ที่นี่
“กลุ่มแรกไปเมืองอัลฌา ปัญจารา
นาซิก แล้ววกกลับมาเจอกันที่ดาเรน”
“กลุ่มที่สองไปเมืองนากัน อาลจัญ
บัลไบ แล้วเข้าดาเรน”
นาซีมบอกถึงแผนการเดินทางของแต่ละกลุ่ม
โดยบอดีการ์ดของชีคนาซจะเป็นกองกำลังหลัก ส่วนคนของทีเคกรุ๊ปจะเป็นกำลังเสริม
ทุกกลุ่มจะปลอมตัวเป็นคาราวานพ่อค้าเร่ มีการว่าจ้างแรงงานชนเผ่าเร่ร่อนเป็นลูกหาบเพื่อความสมจริง
เนื่องด้วยขณะนี้สถานการณ์ภายในประเทศค่อนข้างละเอียดอ่อน ถ้าหากองค์ซีมา
หรือชีคอัลลามรู้ข่าวการเคลื่อนไหวนี้
อาจจะใช้เป็นเหตุโจมตีชีคนาซฐานซ่องสุมกำลังหวังก่อกบฏก็ได้ …แต่ถ้าชีคนาซต้องการจะก่อกบฏจริงแค่กำลังทหารในมือก็มากพอจะโค่นล้ม..ทั้งราชวงศ์ได้ด้วยซ้ำ
รุ่งเช้า…คาราวานพ่อค้าเร่ก็เริ่มออกเดินทางโดยแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ไผทพากองกำลังเกือบสามสิบคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จุดหมายแรกคือเมืองอัลฌา
กองคาราวานอูฐต่างเดินเรียงตามกันเป็นแถวยาวบรรทุกสัมภาระค้าขาย
ตัดผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุ ผ่านเนินทรายลูกแล้วลูกเล่า ทุกคนในกองคาราวานต่างไม่ปริปากบ่น
ยกเว้นแต่เด็กเร่ร่อนมอมแมมสองคนที่ซุกตัวอยู่บนหลังอูฐตัวหนึ่งที่อ่อนระโหยโรยแรงพร้อมจะล้มพับได้ทุกเมื่อ
เมื่อผู้นำกองคาราวานสั่งให้หยุดพัก
ทุกคนต่างรีบลงจากหลังอูฐไปทำหน้าที่ของตนอย่างขมีขมัน
ยกเว้นแต่เด็กสองคนที่ไม่มีแม้แต่แรงที่จะคลานลงมาจากหลังอูฐที่พวกมันนั่งอยู่
เสียงโล้งเล้งของผู้คุมคนงานร่างยักษ์ที่เอ็ดอึงดังลั่นอยู่ท้ายกองคาราวานทำให้ไผทอดเดินไปดูไม่ได้
“มีอะไรกันหรือ?”
เขาถามเป็นภาษาอังกฤษ…แต่คนคุมแรงงานคงไม่เข้าใจเพราะเขาส่งภาษาถิ่นตอบกลับมายาวเหยียดที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้าเพราะฟังไม่รู้เรื่อง
จนบอดีการ์ดของชีคนาซที่มาด้วยต้องเดินมาเป็นล่ามส่งภาษา
“มีเด็กแอบมากับกองคาราวานครับ”บอดีการ์ดแปลคำพูดยาวเหยียดของคนคุมได้แค่ประโยคเดียวสั้นๆ
‘เด็กแอบมา’กอดกันกลม
ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ถามสิ พวกมันจะไปไหน? ทำไมต้องแอบตามมาด้วย?”ไผทถาม
บอดีการ์ดที่เป็นล่ามช่วยส่งภาษา
แต่เด็กที่หนีตามมายังคนขดตัวกลมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม
“ถ้าไม่ตอบ จะจับมัดเป็นเหยื่อล่อสุนัขจิ้งจอกคืนนี้แน่”ไผทแกล้งขู่…ได้ผล ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้ามอมแมมซีดเผือดไร้สีเลือด
ทันทีที่เห็นหน้า ‘เด็กแอบตามมา’ไผทก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย
ด้วยประสบการณ์ที่อยู่กับเหล่าวายร้ายที่ชอบปลอมตัวเป็นผู้ชายมายาวนานสิบกว่าปี
ทำให้เขาจับได้ในทันที…เด็กสองคนนี้…ผู้หญิงปลอมตัวมา
“เอาล่ะ…ให้เด็กสองนี้ไปรับใช้ฉันที่เต็นท์”
ไผทถอนหายใจก่อนจะสั่ง…ถ้าไล่กลับไปตอนนี้
ก็พอดีเป็นอาหารค่ำจิ้งจอกทะเลทราย..แต่ผอมแห้งอย่างนั้นพวกมันจะอิ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้
‘ไปรับใช้ฉันที่เต็นท์’องค์หญิงซารีนเม้มพระโอษฐ์แน่น ตั้งแต่ประสูติมาไม่เคยต้องไปรับใช้ใคร..มีแต่คนต้องคอยปรนนิบัติรับใช้…แต่เจ้าต่างชาติร่างใหญ่นี้เป็นใคร ถึงกล้าสั่งให้พระองค์ไป ‘รับใช้ที่เต็นท์’ของตน…แม้จะทรงขัดเคืองพระทัย
แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม ก็ใครใช้ให้หาเรื่องใส่พระองค์เองล่ะ
ไผทมองเด็กมอมแมมคนที่เดินนำหน้าที่ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด
แล้วต้องหรี่ตาลง
อาการไม่พอใจของมันที่แสดงออกทั้งๆที่ตนตกอยู่ในสภาพจนตรอกนั้นก็พอจะเดาได้ว่ามันคงเคย‘ใหญ่’มาก่อน
เห็นแล้วทำให้นึกถึง ‘เจ้านายตัวร้าย’ของตนยิ่งนัก
…แบบนี้มันน่าจะแกล้งเสียให้เข็ด…
“ไปกางเต็นท์สิ”ไผทยืนกอดอกสั่งเป็นภาษาอังกฤษ
ไอ้หน้ามอมค้อนขวับทันควัน
แต่ก็ยอมไปดึงๆรั้งๆผืนผ้าที่วางกองอยู่บนพื้นทราย…แสดงว่ามันรู้ภาษาอังกฤษ
ไม่ใช่เด็กหนีออกจากบ้านธรรมดาซะแล้ว...เพราะเด็กสาวที่นี่จะเรียนภาษาอังกฤษได้ต้องเป็นลูก
‘ผู้มีอันจะกิน’ไม่ใช่ลูกหลานชาวบ้านธรรมดา
ด้วยแรงที่มีอยู่น้อยนิดบวกกับที่ไม่เคยทำงานอย่างนี้มาก่อน
ทำให้เต็นท์ยังคงเป็นกองผ้า แม้เวลาจะผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วก็ตาม…ส่วนคนสั่งก็เดินหนีหายไปเลยไม่โผล่หน้ามาดูดำดูดี
องค์หญิงซารีนทรุดองค์ลงนั่งบนพื้นทรายอย่างหมดแรงหลังจากทรงพยายามจัดการกับผ้ากองนั้น แต่ไม่สำเร็จ
“นี่หรือเต็นท์ของเจ้า?”เสียงคำรามดังลั่นอยู่ด้านหลัง
ทำให้ร่างบางที่นั่งทอดถอนพระทัยถึงกับสะดุ้ง
“แรงก็ไม่มี ทำอะไรก็ไม่เป็น
ยังริอ่านจะออกมากับกองคาราวาน ช่างไม่เจียมตัวซะจริงๆ”ไผทแกล้งว่า…คิดเสียว่ากำลัง ‘เอาคืน’เจ้านายตัวร้ายก็แล้วกัน
องค์หญิงซารีนน้ำพระเนตรคลอ…ตั้งแต่ประสูติมายังไม่เคยมีใครกล้าพูดจาร้ายกาจแบบนี้กับพระองค์เลย
ไผทชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นน้ำใสๆที่ใกล้หยาดหยด…เขาลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เจ้านายตัวร้าย…ที่พร้อมจะ‘เอาคืน’ทุกคนที่กล้ามาตอแย
เขาส่ายหน้าก่อนจะลงมือกางเต็นท์เองอย่างรวดเร็ว
ด้วยกลัวว่าถ้ารอให้สองคนนี้กาง พรุ่งนี้เช้าก็คงยังไม่เห็นเต็นท์
องค์หญิงซารีนกับเฮบา
ถอยห่างร่างใหญ่ที่สะบัดผืนผ้ากางเต็นท์อย่างคล่องแคล่วพลางจดจำวิธีการไว้
เผื่อคราวหน้าจะต้องทำจะได้ทำเป็น
“พวกเจ้าทำกับข้าวเป็นไหม?”
ไผทหันไปถามหลังจากกางเต็นท์เสร็จ…ผู้หญิงน่าจะทำอาหารได้…ไหนๆก็มาด้วยแล้ว ก็น่าจะหางานให้ทำซะหน่อย
จะได้ไม่เอาเปรียบคนอื่นจนเกินไป
“ได้เจ้าค่ะ…เฮ้ย
ได้ขอรับ”เฮบาพยายามดัดเสียงทุ้ม ให้คล้ายผู้ชาย
ไผทส่ายหน้า
ปลอมตัวไม่เหมือนยังริอ่านที่จะปลอมตัวอีก…แบบนี้น่าจะส่งไปเรียนกับเจ้านายนะ
เผื่อจะได้เทคนิคมาใช้บ้าง
“งั้นพวกเจ้าก็ไปประจำที่กองเสบียง
มีหน้าที่ทำอาหารทั้งสามมื้อเลี้ยงกองคาราวาน”ไผทสั่งงาน
“ทำอาหารเลี้ยงกองคาราวาน?”องค์หญิงซารีนเบิกพระเนตรโต…เราไม่ใช่คนครัวนะจะได้จิกหัวใช้
“ทำไม? แค่ทำอาหารก็มีปัญหารึไง?
หรือว่าพวกเจ้าจะเดินเท้ากลับ? งั้นมาทางไหนก็ไปทางนั้น”ไผทบอกอย่างรำคาญ… ผู้หญิงนี่ช่างวุ่นวาย
มีแต่ปัญหาเสียจริง
องค์หญิงซารีนพระพักตร์คว่ำ คำก็ขู่ สองคำก็ว่า
ถ้าอยู่ตำหนักล่ะก็เจ้ายักษ์นี้คงถูกโบยหลังลายไปแล้ว…มีทางไหนที่พอจะเอาคืนได้บ้างไหมนะ?
องค์หญิงทรงคิดหาหนทาง’เอาคืน’ พลางดำเนินตามเฮบาไปที่กองเสบียง
“เวธน์ จับตาดูสองคนนั้นให้ดีนะ”ไผทบอกลูกน้องคนสนิท
“ทำไมครับ? หรือว่าสายของพวกโจร?”เวธน์ถามอย่างระแวง…ตั้งแต่ปะทะกับกองโจรทำให้เขาระมัดระวังมากขึ้น
“เฮอะ…ตัวบางอย่างกับจะปลิวลม
ถ้าเป็นสายโจรจริง คงไม่มีแรงเดินไปส่งข่าวหรอก”ไผทเบ้ปากเยาะหยันคนที่กำลังสาละวนกับการทำครัวอยู่ไม่ห่าง
“งั้นหัวหน้าให้จับตาดูทำไมครับ?”ลูกน้องยังไม่เข้าใจ ก็แค่เด็กขี้โรคสองคน มีอะไรน่าสนใจนักหนา
“นายดูไม่ออกเลยหรือไง? เสียแรงที่อยู่กับเจ้านายตัวร้ายมาตั้งหลายปี”คนเป็นหัวหน้าเอ็ด
พอหัวหน้าพูดถึงเจ้านาย ทำให้เวธน์เอะใจ…อ่า…ใช่จริงๆด้วย…สปีชีส์เดียวกันกับเจ้านายนั่นเอง
“มาได้ยังไงล่ะเนี่ย? ก็เรารับเฉพาะผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”เวธน์ถาม
พลางถอนหายใจ…เห็นความวุ่นวายอยู่รำไร
“แอบมานะสิ…เพิ่งรู้
จะไล่กลับก็ไม่ได้ เกิดไปตายกลางทาง ทำไง”ไผทถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“ช่วยกันดูล่ะ เกิดเป็นอะไรไปขึ้น
เจ้านายจะได้ถลกหนังหัวเอา”ไผทสั่ง
เจ้านาย…บทดีก็ดีจนน่าตกใจ….บทร้ายก็ร้ายจนน่าขยาด…
ส่วนคนโชคร้ายไม่ว่าเจ้านายจะ ดีหรือร้ายก็…ลูกน้องอย่างเขายังไงล่ะ
“หัวหน้า อย่าลืมภาวนา อย่าเพิ่งให้เจ้านายหลุดมาได้ก็แล้วกันนะ”เวธน์หัวเราะขัน ด้วยรู้ดี…หลุดมาได้เมื่อไร
หัวหน้าเจอดีแน่
“นายอย่ามาอวยพรให้ฉัน…งานนี้..โดนด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ไม่เชื่อคอยดูสิ”ไผทพลางส่ายหน้าเมื่อเห็นลูกน้องทำท่าขยาด…โดนบ่อยจนน่าจะชิน แล้วยังทำเป็นกลัวไปได้
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย
คนในกองคาราวานก็ไปอาบน้ำริมบึงเล็กๆ โอเอซีสเล็กๆกลางทะเลทรายกว้างใหญ่แห่งนี้จะมีน้ำเฉพาะหน้าฝนแบบนี้เท่านั้น
ไผทนำผ้าผืนยาวไปกางโดยปักหลักสี่มุมเป็นเสาแล้วใช้ผ้าขึงรอบทั้งสี่ด้านคล้ายห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เปิดโล่งด้านบน
เขาตักน้ำจากบึ้งใส่ถังไปตั้งไว้ในห้องเล็กๆนั้น
จากนั้นก็ไปเรียกเด็กสาวทั้งสองให้เดินตามมา
“อาบน้ำ”เขาบอกพร้อมชี้ไปห้องน้ำชั่วคราวที่สร้างไว้
“อาบน้ำ!”องค์หญิงอุทาน
ด้วยไม่เคยนึกเลยว่า จะต้องสรงน้ำในที่โล่งแจ้งแบบนี้
“อาบหรือไม่อาบก็ตามใจ”ไผทบอกก่อนเดินจากไปอย่างไม่แยแส..เขาทำดีที่สุดแล้วนะ…ถ้ายังไม่พอใจก็จัดการกันเองก็แล้วกัน
“สรงเถอะเพคะ”
เฮบาทูล ด้วยรู้ดีว่า
สภาพความเป็นอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร
แค่มีที่บังตาเป็นสัดส่วนแบบนี้ก็ถือว่าดีเลิศแล้ว …แต่ทำไมจู่ๆคนๆนั้นถึงมาทำอะไรแบบนี้ให้
“จะให้เราอาบได้อย่างไร..มันโล่งโจ้งขนาดนี้”องค์หญิงแทบจะทรงกันแสง
“หม่อมฉันจะเฝ้าด้านนอกให้นะเพคะ …เร็วเถอะ เดี๋ยวมีคนสงสัย จะแย่นะเพคะ”เฮบาเร่ง
องค์หญิงทรงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยอมมุดเข้าไปในนั้น
ก่อนจะสรงน้ำอย่างรวดเร็วที่สุดที่เท่าเคยทำสถิติมา จากนั้นก็ทรงผลัดเวรเฝ้าด้านนอกให้เฮบาเข้าไปอาบน้ำบ้าง
“อาบน้ำเสร็จแล้วใช่ไหม?”เสียงทักอยู่ใกล้ๆทำให้ทั้งสองสาวสะดุ้ง
“ เข้าไปอยู่ในเต็นท์ที่กางตอนเย็นซะ
แล้วอย่าเดินเพ่นพล่านยามค่ำคืนล่ะ มันอันตราย”
จากนั้นคนสั่งก็ลงมือเก็บห้องน้ำชั่วคราวที่ตนสร้างไว้
ก่อนจะถอดเสื้อออกอย่างไม่สนใจว่าใครจะมองตนอยู่หรือไม่
“จะ เจ้าจะทำอะไร?”องค์หญิงละล่ำละลักถาม
“ก็อาบน้ำ”
ไผทหันมาตอบ แถมยังปลดเข็มขัดต่ออย่างหน้าตาเฉย
ทำเอาสองสาวรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปไม่เหลียวหลัง คนมองตามอมยิ้มที่น้อยคนจะได้เห็น…เสือยิ้มยาก..จนเจ้านายให้ฉายา..ทำหน้าเหมือนหมีขั้วโลกใต้…ความหมายคือทำหน้าเย็นเป็นน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา
องค์หญิงซารีนที่ดำเนินห่างออกมาจากคนหน้าหนาบ่นอุบอิบ…ตั้งแต่ประสูติมาก็ไม่เคยพบเคยเจอ…ใครบ้างที่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉยอย่างนั้น….แม้ปากจะบ่นแต่พระทัยกลับเต้นระทึก…ภาพแผ่นอกเปลือยเปล่าหนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ
ซิกแพคหน้าท้องเป็นลอนงดงามสมชาย ช่างเป็นภาพที่เย้ายวนพระทัยยิ่งนัก..ไม่ใช่สิ
ช่างเป็นภาพที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
เมื่อไผทอาบน้ำเสร็จกลับมาที่เต็นท์
ก็พบว่าสองสาวจับจองเป็นเจ้าของเต็นท์ของเขาเรียบร้อยแล้ว เขาคะเน ถ้านอนด้วยกันสามคนน่าจะแน่นเกินไป
แต่ถ้าให้เขาไปนอนกับเวธน์…ไม่เอาดีกว่า
เจ้านั่นนอนกรนน่ารำคาญ
ไผทเดินไปบอกลูกน้อง “นายเอาไปนอนด้วยคนนึง”
“เฮ้ย!”ลูกน้องอุทาน...นั่นเป็นข้อห้ามเด็ดขาด..ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เลยนะ
“ฉันหมายถึง..นอนที่เต็นท์ด้วย”หัวหน้าตาเขียวที่ลูกน้องชักจะคิดไปไกล
“แหะๆ”เวธน์หัวเราะเบาๆ...ก็นะ
...คนมันเว้นช่วงมานาน ฮอร์โมนมันก็ต้องพลุ่งพล่านเป็นธรรมดา
“ไปนอนเต็นท์โน้นคนนึง”ไผทเดินกลับไปบอกสองสาวที่อยู่ในเต็นท์
“ไม่เอา เราต้องนอนด้วยกัน”องค์หญิงซารีนแย้งทันควัน
“ได้ ถ้าอยากนอนด้วยกัน ก็โน่น..เต็นท์รวมโน่น...ได้นอนด้วยกันสมใจแน่...แต่เต็นท์นี้รับได้อีกแค่คนเดียว”ไผทบอกเสียงเฉียบขาด
“คุณก็ไปเองสิ”องค์หญิงซารีนเกี่ยง จะให้ไปนอนรวมกับผู้ชายทั้งฝูงนี่นะ ...แค่คิดก็สยอง
“ให้ฉันไปนี่นะ!”
ไผทชี้ตัวเองอย่างไม่เชื่อหู..ไอ้เด็กนี่มันกินดีหมีมาหรืออย่างไรถึงกล้าไล่เขาไปนอนที่อื่น..ยิ่งดูยิ่งคล้ายเจ้านายตัวร้าย...ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากแกล้ง...ความอัดอั้นตันใจสะสมมานาน...
เอาคืนซะเลยดีไหม
เฮบาสะกิดผู้เป็นนายเมื่อเห็นคนตัวใหญ่เริ่มหงุดหงิด
แม้ไม่อยากจะแยกไปนอนที่เต็นท์อื่น แต่ให้เลือกระหว่างต้องนอนกับคนตัวใหญ่แต่แอบใจดี
กับนอนรวมกับกุลีพวกนั้น…นอนกับคนตัวใหญ่
น่าจะปลอดภัยกว่า..มั้ง
“หม่อนฉันไปนอนโน่นเองเพคะ”เฮบากระซิบ
“อย่าใช้ราชาศัพท์ เดี๋ยวความแตกกันพอดี”
องค์หญิงกระซิบเอ็ด ก่อนจะหันซ้ายแลขวา
เมื่อเห็นว่ายังไงคนตัวใหญ่ก็คงไม่ยอมไปไหนแน่ จึงจำต้องพยักพระพักตร์ให้เฮบา…พลางมองหน้าคนร่วมเต็นท์อย่างหวาดระแวงเต็มที่
ไผทเห็นสายตาไม่ไว้ใจ
คล้ายเขาเป็นโจรปล้นสวาทก็รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก..ผู้หญิงนี่ช่างน่ารำคาญ มันจะอะไรนักหนานะ
ด้วยความหงุดหงิดเขาจึงคว้าผืนผ้าที่ใช้สร้างห้องน้ำชั่วคราวมาขึงกั้นแบ่งเขตซะเลย
องค์หญิงมองการกระทำของเขา ตอนแรกก็ตกพระทัย
แต่ต่อมารู้สึกพอพระทัยยิ่ง…เจ้ายักษ์นี่ก็รู้จักทำอะไรดีๆเป็นเหมือนกันนะ
เวธน์มองการกระทำของหัวหน้าพลางส่ายหน้ายิ้มขำ
ทำยังกับฤษีบำเพ็ญตบะ ต้องแบ่งแยกเขตแดนชายหญิง
อายุก็ใช่ว่าจะน้อยแล้วยังไม่ชายตามองผู้หญิงคนไหนเลย
หรือเพราะอยู่กับเจ้านายตัวร้ายมากเลยเข็ดขยาดผู้หญิงไปแล้ว
เขาเดินนำผู้ร่วมเต็นท์คนใหม่ไปที่เต็นท์ของตน
เมื่อมุดเข้าไปในเต็นท์เขาก็ลากกระเป๋าสัมภาระมาวางกั้นแบ่งเขต
“ห้ามข้ามเขตมานะ”เขาขู่
…ถ้าข้ามมาแล้วเกิดอะไรขึ้นจะมาโทษเขาไม่ได้นะ…คนนะไม่ใช่ก้อนหิน..ที่จะนอนกับผู้หญิงแล้วไม่รู้สึกอะไร
เฮบาทำหน้าหวาดกลัว
ก่อนจะคลานไปนอนซุกทำตัวลีบติดผ้าเต็นท์ฝั่งของตน…คนที่เคยอยู่แต่ในวังแถมยังแบ่งแยกชายหญิงอย่างเด็ดขาด
จู่ๆต้องมานอนร่วมเต็นท์กับผู้ชายจะไม่ให้หวาดกลัวได้อย่างไร
แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดอะไร เพราะแค่ล้มตัวลงนอนไม่ถึงห้านาที
เสียงกรนสนั่นก็ดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจใคร
เฮบาถอนหายใจ ก่อนจะพยายามนับเลขในใจให้หลับ
ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่หนีออกจากวังมา
แต่ไหนๆก็มาไกลขนาดนี้แล้วจะให้ถอยกลับไปคงไม่ได้แล้วล่ะ
อุณหภูมิตอนกลางวันกับตอนกลางคืนในทะเลทรายต่างกันมาก เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่พอจะช่วยดูดกลืนพลังแสงอาทิตย์ได้เลย
ดังนั้นตอนกลางวันอุณหภูมิจะพุ่งสูงบางวันมากกว่าห้าสิบองศาเซลเซียส
แต่ในตอนกลางคืนอุณหภูมิกลับลดลงอย่างรวดเร็วบางฤดูต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสก็มี
ไผทขยับตัวเมื่อรู้สึกหนาวจนต้องกระชับผ้าที่ห่มให้แน่นขึ้น แต่เมื่อระลึกได้ว่ายังมีคนนอนร่วมเต็นท์อีกคน
ทำให้อดชะโงกหน้าไปมองไม่ได้
ร่างเล็กบอบบางขดตัวกลมคล้ายลูกบอลด้วยความหนาวเย็น
ไผทมองผ้าห่มที่คลุมร่างตน ก่อนจะถอนหายใจ
เขาดึงผ้าออกจากร่างตนไปคลุมให้ร่างบางนั้น
พลางครุ่นคิดว่าผ้าบางแค่นี้จะให้ความอบอุ่นเพียงพอหรือไม่
แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง..ก่อนจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนาสีเขียวลายพลางทหารที่ตนสวมออกไปคลุมให้เด็กสาวอีกชั้น
อากาศเย็นจัดกรูเข้ามาปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อแขนสั้นคอกลมตัวบางจนร่างหนาสั่นสะท้าน
เขาตัดสินใจเดินออกไปนอกกระโจม เดินตรงเข้าไปหากองไฟที่ใกล้มอดเต็มที
ก่อนจะเติมฟืนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อีกไม่นานก็เช้าแล้ว
นอนข้างกองไฟน่าจะดีกว่าทนนอนหนาวอยู่ในเต็นท์
ลูกน้องที่เป็นเวรยามต่างเดินมาเมียงมองหัวหน้าของตน
แต่เมื่อคนเป็นหัวหน้าไม่สนใจ ลูกน้องจึงต้องถอยห่างออกไปประจำหน้าที่ตน เพราะขืนเข้าไปถามวุ่นวายอาจจะได้ ‘เรื่อง’… โดยใช่เหตุ
เวธน์สะดุ้งตื่นเพราะว่ามีบางอย่างเข้ามาประชิดตัว เนื่องด้วยถูกฝึกมาอย่างหฤโหดทำให้เขาเป็นคนนอนง่ายตื่นเร็ว
เพียงแค่มีสิ่งผิดปกติเล็กน้อยก็ไม่อาจเล็ดลอดประสาทสัมผัสเขาไปได้
เมื่อเขามองดูสิ่งที่ทำให้เขาต้องตื่นกลางดึกแล้วก็ต้องถอนหายใจ
ร่างบางที่เคยนอนตัวลีบเบียดผนังเต็นท์ ตอนนี้กลับมานอนเบียดชิดเขา
อากาศหนาวเย็นที่แสนทารุณทำให้ร่างเล็กขยับเข้าหาไออุ่นโดยไม่รู้ตัว
มุมปากของคนตัวโตยกขึ้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์…วงแขนแกร่งกอดกระชับร่างบางแนบอกในทันใด…เขาเตือนแล้วนะว่าอย่าข้ามเขต
แล้วทำไมถึงไม่เชื่อ…จะมาโทษเขาเอาเปรียบได้อย่างไร
ก็ในเมื่อเขาเตือนไปแล้ว..
อากาศภายนอกยังคงเย็นเฉียบ แต่คนที่นอนภายในเต็นท์กลับอบอุ่นขึ้น..อุ่นไปถึงหัวใจ …บางทีการเดินทางกลางทะเลทรายก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียที่เดียวหรอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น